ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision
Support System : DSS)
DSS เป็นซอฟแวร์ที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการ การรวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างตัวแบบที่ซับซ้อน ภายใต้ซอฟต์แวร์เดียวกัน
นอกจากนั้น DSSยังเป็นการประสานการทำงานระหว่างบุคลากรกับเทคโนโลยีทางด้าน
ซอฟต์แวร์ โดยเป็นการกระทำโต้ตอบกัน เพื่อแก้ปัญหาแบบไม่มีโครงสร้าง
และอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ใช้ตั้งแต่เริ่มต้นถึงสิ้นสุดขั้นตอนหรือ
อาจกล่าวได้ว่า DSS เป็นระบบที่โต้ตอบกันโดยใช้คอมพิวเตอร์
เพื่อหาคำตอบที่ง่าย สะดวก รวดเร็วจากปัญหาที่ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอน
ดังนั้นระบบการสนับสนุนการตัดสินใจ จึงประกอบด้วยชุดเครื่องมือ ข้อมูล ตัวแบบ (Model)
และทรัพยากรอื่นๆ
ที่ผู้ใช้หรือนักวิเคราะห์นำมาใช้ในการประเมินผลและแก้ไขปัญหา ดังนั้นหลักการของDSS
จึงเป็นการให้เครื่องมือที่จำเป็นแก่ผู้บริหาร
ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีรูปแบบที่ซับซ้อน แต่มีวิธีการปฏิบัติที่ยืดหยุ่น DSS
จึงถูกออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน การทำงาน
ไม่เพียงแต่การตอบสนองในเรื่องความต้องการของข้อมูลเท่านั้น

คุณสมบัติของ DSS
พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน
ทำให้ DSS สามารถช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจแก้ปัญหา
โดยนำข้อมูลที่จำเป็น แบบจำลองในการตัดสินใจที่สำคัญ และชุดคำสั่งที่ง่าย
ต่อการใช้งานรวมเข้าเป็นระบบเดียว
เพื่อสะดวกต่อในการใช้งานของผู้ใช้ โดยที่ DSS ที่เหมาะสม
ควรมีคุณลักษณะ
ดังนี้
1.
ง่ายต่อการเรียนรู้และใช้งาน เนื่องจากผู้ใช้อาจมีทักษะทางสารสนเทศที่จำกัด
ตลอดจนความเร่งด่วนในการใช้งานและความต้องการของปัญหา ทำให้ DSS ต้องมีความสะดวกต่อผู้ใช้
2.
สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดยที่ DSS ที่ดีต้องสามารถสื่อสารกับผู้ใช้อย่างฉับพลัน
โดยตอบสนองความต้องการและโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ทันเวลา โดยเฉพาะ
ในสถานการณ์ปัจจุบัน
ที่ต้องการความรวดเร็วในการแก้ปัญหา
3.
มีข้อมูล และแบบจำลองสำหรับสนับสนุนการตัดสินใจที่เหมาะสมและสอดคล้องกับ
ลักษณะของปัญหา
4.
สนับสนุนการตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง และไม่มีโครงสร้าง
ซึ่งแตกต่างจากระบบสารสนเทศสำหรับปฏิบัติ
งานที่จัดการข้อมูลสำหรับงานประจำวันเท่านั้น
5.
มีความยืดหยุ่นที่จะสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้ เนื่องจากลักษณะของ
ปัญหาที่มีความไม่แน่นอน
และเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ในหลายลักษณะ
จึงต้องการระบบสารสนเทศที่ช่วยจัดรูปข้อมูลที่ไม่ซับซ้อนและง่ายต่อการตัดสินใจ
คุณสมบัติของ
DSS สร้างความเป็นเอกลักษณ์ในการทำงานของระบบ
ซึ่งสอดคล้องกับ
ความต้องการของธุรกิจ
ปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากหลายองค์การสนับสนุนให้มีการพัฒนาหรือซื้อ
ระบบสารสนเทศที่ช่วยให้การตัดสินใจของผู้บริหารมีประสิทธิภาพขึ้น
ประเภทของตัวแบบ
ตัวแบบส่วนใหญ่จะถูกใช้เป็นตัวแทนของระบบและส่วนประกอบของระบบ
แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1.
ตัวแบบกายภาพ (Physical model) เป็นตัวแบบที่สร้างเลียนแบบของจริงในทางกายภาพ
เป็นการนำเสนอในรูปแบบ 3 มิติ ที่สามารถจับต้องหรือสัมผัสได้ เช่น
งานสถาปัตยกรรมตัวแบบกายภาพของตึก อาคารต่าง ๆ เป็นต้น
2.
ตัวแบบกราฟิก (Graphical Models) เป็นตัวแบบที่สร้างด้วยแผนภาพ
แผนภูมิ หรือรูปภาพ เพื่อใช้อธิบายการทำงาน ลำดับขั้นตอนการทำงาน
หรือสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ ตัวแบบกราฟิกโดยทั่วไปนิยมใช้สัญลักษณ์เป็นรูป กล่อง
และเส้น แทนส่วนประกอบของข้อเท็จจริง และความสัมพันธ์ระหว่างกันของส่วนประกอบ
3.
ตัวแบบพรรณนา (Descriptive or Narrative Models) เป็นตัวแบบที่แสดงการบรรยายด้วยข้อความ
หรือภาษาพูด เช่น ภาษาอังกฤษ โดยปราศจากสูตรหรือรูปกราฟิก
การบรรยายอาจเป็นการอธิบายเหตุการณ์หรือเรื่องราว ขั้นตอนการทำงาน
และลำดับขั้นตอนการทำงาน
4.
ตัวแบบคณิตศาสตร์ (Mathematical models) เป็นตัวแบบที่แสดงด้วยสมการหรือฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์
เพื่อแสดงตัวแปรต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องและความสัมพันธ์ของตัวแปรเพื่อใช้ในการศึกษาวิเคราะห์
ส่วนประกอบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
แบ่งออกเป็น 4 ส่วน
1. ระบบการจัดการข้อมูล (Data Management
System)
เป็นการรวบรวมข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์การที่มีความสัมพันธ์กับองค์การไว้ในฐานข้อมูล
และอาศัยระบบจัดการฐานข้อมูล (Database
Management System) เป็นเครื่องมือในการจัดการ และบำรุงรักษา
ข้อมูลเหล่านี้รวมถึงการจัดทำพจนานุกรมข้อมูล
และจัดให้มีระบบอำนวยความสะดวกในการสอบถามข้อมูลจากฐานข้อมูล
2. ระบบการจัดการตัวแบบ (Model
Management System)
2.1 ฐานตัวแบบ (Model Base) ประกอบด้วยตัวแบบด้านสถิติการวิเคราะห์เชิงปริมาณ
การเงิน วิทยาการจัดการ และตัวแบบอื่น ตัวแบบแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
2.1.1
ตัวแบบเชิงกลยุทธ์ (Strategic Model) เครื่องมือช่วยผู้บริหารระดับสูงในการวางแผนเชิงกลยุทธ์
เป็นการทำงานในลักษณะการจำลอง (Simulation) เช่น
การวางแผนเพื่อขยายหรือรวมกิจการ การเลือกทำเลที่ตั้งโรงงาน
การวิเคราะห์ผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
2.1.2
ตัวแบบเชิงยุทธวิธี (Tactical Model) เครื่องมือช่วยผู้บริหารระดับกลางในการจัดสรรและควบคุมทรัพยากรองค์กร
เช่น การวางแผนกำลังคน การวางแผนการส่งเสริมการขาย การกำหนดแผนผังโรงงาน
2.1.3
ตัวแบบเชิงปฏิบัติการ (Operational Model) ตัวแบบที่สนับสนุนการปฏิบัติงานประจำวันขององค์กร
เช่น การอนุมัติคำขอกู้เงินธนาคาร การวางแผนการผลิต การควบคุมสินค้าคงคลัง
การควบคุมคุณภาพ
2.1.4
ตัวแบบ Building Block และชุดคำสั่งประจำย่อย เช่น
กำหนดการใช้ตัวเลขเชิงสุ่ม การคำนวณค่าปัจจุบัน การวิเคราะห์เชิงถดถอย (Regression
Analysis)
2.2 ระบบจัดการฐานตัวแบบ (The Model Base
Management System) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการสร้าง
การเรียกใช้ และการเก็บรักษาตัวแบบให้พร้อมทำงานได ้
2.3 สารบบตัวแบบ (The Model
Dictionary) ทำหน้าที่บันทึกรายการคำจำกัดความของตัวแบบแต่ละตัวแบบ
3. ระบบการจัดการความรู้ (Knowledge
Management System)
เป็นระบบย่อยที่เพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อสนับสนุนระบบย่อยอื่นๆ
ให้ทำงานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือทำงานเป็นระบบย่อยอื่นๆ
ให้ทำงานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือทำงานเป็นระบบย่อยอิสระก็ได้
ระบบการจัดการความรู้เป็นระบบที่เก็บรวบรวมความรู้หลากหลายประเภทจากแหล่งความรู้ต่างๆ
ระบบการจัดการความรู้จะเป็นส่วนประกอบที่เก็บใช้การวินิจฉัยหรือการหาคำตอบให้กับการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ
4. ระบบการติดต่อกับผู้ใช้ (User
Interface System)
ระบบการติดต่อกับผู้ใช้
เป็นการจัดการการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับระบบสนับสนุนการตัดสินใจโดยผู้ใช้สามารถสื่อสารและสั่งผ่านระบบย่อยนี้เพื่อทำงานกับระบบสนับสนุนการตัดสินใจได้
ส่วนติดต่อกับผู้ใช้
(User Interface) เป็นสื่อกลางในการติดต่อและโต้ตอบระหว่างผู้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์
ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อทางด้านฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์
เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาขีดความสามารถมากขึ้น
ทำให้นักพัฒนามีเครื่องมือในการสร้างสื่อประสานได้ง่ายและสวยงามมากขึ้นด้วยรูปแบบที่เรียกว่า
“สื่อประสานแบบกราฟฟิก (Graphic User Interface :GUI) โดยสามารถสร้างสื่อประสานให้มีรูปแบบ เช่น เมนูคำสั่ง แบบฟอร์ม การถาม-ตอบ
เป็นต้น รูปแบบของสื่อประสานกับผู้ใช้มีสีสันสวยงาม มีการใช้งานที่ง่ายดายมากขึ้น
และที่สำคัญคือ ผู้ใช้สามารถประสาน ติดต่อ หรือโต้ตอบกับระบบได้ด้วยการใช้เสียงพูด
(Natural Language) หรือนิ้วสัมผัส
ที่นับว่าเป็นการอำนวยความสะดวกมากยิ่งขึ้นให้ผู้ใช้ที่มีความชำนาญไม่มากนัก
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial
Intelligence :AI)
คือการสร้างความฉลาดให้กับสิ่งไม่มีชีวิต
เพื่อให้สามารถคิด ทำงาน และเรียนรู้ได้เอง
โดยมีจุดประสงค์หลักก็ทำเพื่อให้มันสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้
ในช่วงเริ่มแรกมักจะนำมาใช้ในงานที่ต้องทำซ้ำๆ
หรือเป็นงานที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตได้
มีการแบ่งหรือจำแนก AI ออกมาเป็นหลายๆ แบบ
ตามคุณลักษณะต่างๆ ของ แต่การแบ่ง AI ตามระดับความสามารถและสติปัญญาดูจะเข้าใจง่ายและใช้กันแพร่หลาย
ซึ่งมีการจำแนกออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
1. Artificial Narrow Intelligence (ANI) หรืออาจจะเรียกว่า Weak AI ซึ่งเป็น
AI “ปัญญาประดิษฐ์”
:ซึ่งมีระดับระดับสติปัญญาที่มีความสามารถในการทำงานได้ในเรื่องแคบๆอยู่ในวงจำกัด
เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่นในปี 1997 IBM สร้างคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถเอาชนะแชมป์หมากรุกได้
ในยุคปัจจุบัน Google สามารถสร้างรถยนต์ไร้คนขับได้ SIRI
ของแอปเปิ้ลสามารถสื่อสารพูดคุยกับคนได้
นั่นก็สามารถทำได้เพียงแต่แค่นั้น มันยังคงไม่มีความสามารถ
และมีสติปัญญาคิดไปทำอย่างอื่นในขอบเขตที่กว้างไกลใกล้เคียงมนุษย์ได้
2. Artificial General Intelligence
(AGI) อาจเรียกว่า Strong AI ซึ่งเป็นสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ เป็น AI ปัญญาประดิษฐ์
ที่ความสามารถในการทำงานได้เทียบเท่ากับสมองมนุษย์ ในปัจจุบันเรายังไม่สามารถสร้าง
AGI ได้ แต่ศาสตราจารย์ Linda Gottfredson ได้อธิบายว่า AGI ปัญญาประดิษฐ์ในระดับนี้เป็นความสามารถทั่วไปเกี่ยวกับจิตใจความนึกคิดมากกว่าอย่างอื่น
โดยจะเกี่ยวข้องกับ ความสามารถในการเรียนรู้ วางแผน การแก้ปัญหา
รู้จักคิดในเชิงนามธรรม มีความคิดที่สลับซับซ้อน เรียนรู้ได้เร็ว
เรียนรู้จากประสบการณ์ โดยปัญญาประดิษฐ์ในระดับ AGI จะสามารถทำได้อย่างง่ายดายเหมือนกับที่มนุษย์ทำได้
3. Artificial Superintelligence (ASI) เราอาจเรียก ASI ซุปเปอร์ปัญญาประดิษฐ์
มีปัญญาเหนือมนุษย์ Nick Bostrom จากออกฟอร์ดซึ่งเป็นนักปรัชญาและผู้นำด้านความคิดด้าน
AI ให้คำจำกัดความของ ASI ว่ามันจะฉลาดและมีปัญญามากกว่าสมองมนุษย์ที่ดีที่สุดในทุกๆด้าน
รวมไปถึงความคิดสร้างสรรค์ในทางวิทยาศาสตร์ เรื่องทั่วๆ ไป
แม้กระทั่งความสามารถในการเข้าสังคม
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจในระดับกลุ่มงาน (Group Decision Support System : GDSS)
หมายถึง
ระบบที่มีการปฏิสัมพันธ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้กลุ่มคนในเรื่องการตัดสินใจแก้ปัญหาที่ไม่มีโครงสร้าง
ดังนั้นองค์ประกอบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม จึงต้องประกอบด้วย ซอฟต์แวร์
ฮารด์แวร์ ผู้ใช้ และกระบวนการที่ใช้สนับสนุนการดำเนินการประชุม
จนสามารถทำให้การประชุมเป็นไปได้ด้วยดี
ลักษณะของระบบสนับสนุนการตัดสินใจในระดับกลุ่มงาน
1.
เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบ และสร้างขึ้นโดยเฉพาะ
2.
ออกแบบขึ้นมาเพื่อปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจขององค์ประชุม
3.
ง่ายต่อการเรียนรู้ และใช้งานได้สะดวก และให้ความหลากหลายกับผู้ใช้ในแต่ละระดับ
4.
มีกลไกที่ให้ผลในเรื่องของการปรับปรุงจุดบกพร่องที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมประชุม
เช่น การทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมเข้าใจในความหมายต่าง ๆ ตรงกัน
5.
ต้องออกแบบให้ระบบสามารถกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น
กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แนวความคิดที่แตกต่าง และ การมีอิสระทางความคิด
เป็นต้น
องค์ประกอบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจในระดับกลุ่มงาน
-
ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
-
ซอฟต์แวร์ (Software)
-
ผู้ใช้ (User)
-
กระบวนการ (Procedure)
ประโยชน์ของการตัดสินใจในระดับกลุ่มงาน
ในบางครั้งการตัดสินใจดำเนินการบางอย่างในองค์กรขนาดใหญ่
อาจไม่สามารถกระทำได้เพียงบุคคลคนเดียว ซึ่งต้องอาศัยการตัดสินใจร่วมกันเป็นกลุ่ม
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของผู้บริหาร หรือผู้ปฏิบัติงาน ดังนั้น ประโยชน์ของระบบ GDSS มีดังนี้
1.
สนับสนุนการประมวลผลแบบคู่ขนาน
2.
การประชุมร่วมของสมาชิกกลุ่มและการทำงานร่วมกัน
3.
เพิ่มศักยภาพของการแสดงความคิดเห็น
4.
อนุญาตให้กลุ่มสามารถใช้เทคนิคการแก้ปัญหาแบบมีโครงสร้าง
5.
ง่ายในการเข้าถึงข้อมูลจากภายนอก
6.
การติดต่อสื่อสารไม่ต้องเป็นแบบตามลำดับ
7.
ให้ผลลัพธ์จากการออกเสียง
8.
สามารถวางแผนล่วงหน้าในการประชุมกลุ่มได้
9.
ผู้เข้าประชุมสามารถปฎิสัมพันธ์กันได้ทันที
10.
สามารถเก็บข้อมูลในการประชุมไว้ในการพิจารณาหรือวิเคราะห์ครั้งต่อไปได้
ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Executive
Information Systems : EIS)
การที่นำระบบคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ในการดำเนินงานทางธุรกิจ
การจัดการระบบสารสนเทศได้รับการยอมรับว่ามีความสำคัญต่อความสำเร็จในการ
ดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยสร้างความแข็งแกรงเชิงกลยุทธ์
โดยพัฒนาความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์การ
เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนำมาประยุกต์ให้การปฏิบัติงานในระดับต่างๆ
ขององค์การมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น การผลิต การขาย การตลาด การจัดการทางการเงิน
และทรัพยากรบุคคล
ประการสำคัญหลายองค์การได้ให้ความสนใจในการพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับผู้ บริหาร
เพื่อให้การตัดสินใจในปัญหาหรือโอกาสทางธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ซึ่งจะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับองค์การระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
(Executive Information Systems) หรือที่เรียกว่า EISหมาย ถึง ระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ
เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ ทักษะ
และความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
เนื่องจากผู้บริหารเป็นกลุ่มบุคคลที่ต้องการข้อมูลที่มีลักษณะเฉพาะ
โดยเฉพาะด้านระยะเวลาในการเข้าถึงและทำความเข้าใจกับข้อมูล
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันทางธุรกิจที่เกิดขึ้นและปรับตัวอย่าง
รวดเร็วในปัจจุบันได้สร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารต้องตัดสินใจภายใต้ข้อจำกัด
ของทรัพยากรทางการจัดการ ระยะเวลา ข้อมูล และการดำเนินงานของคู่แข่งขัน
นอกจากนี้ผู้บริหารหลายคนยังมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี สารสนเทศที่จำกัด
โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงที่มีอายุมากและไม่มีโอกาสได้พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ
และทักษะด้านการใช้งานสารสนเทศ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาและออกแบบระบบสารสนเทศที่สามารถช่วย
ให้ผู้บริหารปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบข้อมูลสำหรับผู้บริหารต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร บางครั้งจะเรียกว่า ระบบสนับสนุนผู้บริหาร (Executive
Support System) หรือ ESS
คุณสมบัติของระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
เพื่อให้การใช้งานของระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารเกิดประโยชน์
สูงสุด ดังนั้น ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1.
สนับสนุนการวางแผนกลยุทธ์ (Strategic
Planning Support) การพัฒนาระบบ EIS ผู้พัฒนาจะต้องมีความรู้ในเรื่องกลยุทธ์ธุรกิจ
(Business Strategy) และปัจจัยสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์ (Strategic
Factors) เพื่อที่จะสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการช่วยเพิ่มประสิทธ์ภาพในการกำหนดแผนทางกลยุทธ์ที่สมบูรณ์
2.
เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กร (External
Environment Focus) เนื่องจากข้อมูล หรือสารสนเทศ
เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะนำมาประกอบการตัดสินใจของผู้บริหาร ดังนั้น EIS ที่ ดี จะต้องมีการใช้ฐานข้อมูลขององค์การได้อย่างรวดเร็วแล้ว
ยังจะต้องออกแบบให้สามารถเชื่อมโยงกับแหลงข้อมูลที่มาจากภายนอกองค์การ
เพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูลที่สำคัญที่จำเป็นต่อการตัดสินใจของผู้บริหาร
3.
มีความสามารถในการคำนวณภาพกว้าง (Broad-based
Computing Capabilities) การ
ตัดสินใจของผู้บริหารส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่มีโครงสร้างไม่แน่นอนและ
ขาดความชัดเจน โดยส่วนใหญ่จะมองถึงภาพโดยรวมของระบบแบบกว้าง ๆ
ไม่ลงลึกในรายละเอียด ดังนั้นการคำนวณที่ผู้บริหารต้องการจึงเป็นลักษณะง่าย ๆ
ชัดเจน เป็นรูปธรรม และไม่ซับซ้อนมาก เช่น การเรียกข้อมูลกลับมาดู การใช้กราฟ
การใช้แบบจำลองแสดงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
4.
ง่ายต่อการเรียนรู้และใช้งาน (Exceptional
Ease of Learning and Use) ผู้บริหารจะมีกิจกรรมที่หลากหลายทั้งภายในและภายนอกองค์การ
ผู้บริหารจึงมีเวลาในการตัดสินใจในแต่ละงานน้อยหรือกล่าวได้ว่าเวลาของผู้
บริหารมีค่ามาก ดังนั้นการพัฒนา EIS จะต้องเลือกรูปแบบการ
แสดงผลหรือการโต้ตอบกับผู้ใช้ในแนวทางที่ง่ายต่อการใช้งาน และใช้ระยะเวลาสั้น เช่น
การแสดงผลรูปกราฟ ภาษาที่ง่าย และการโต้ตอบที่รวดเร็ว
5.
พัฒนาเฉพาะสำหรับผู้บริหาร (Customization)การ ตัดสินใจของผู้บริหารส่วนใหญ่จะมีความสัมพันธ์ต่อพนักงานอื่น
และต่อการดำเนินธุรกิจขององค์การ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System
Analyst and Designer) ต้องคำนึงถึงในการพัฒนา EIS เพื่อให้สามารถพัฒนา EIS ให้มีศักยภาพสูง
มีประสิทธิภาพดีเหมาะสมกับการใช้งานและเป็นแบบเฉพาะสำหรับผู้บริหารที่จะเข้าถึงข้อมูลได้ตามต้องการ

ข้อดีของระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
1.
ง่ายต่อการใช้งานของผู้ใช้โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง
2.
ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้อย่างลึกซึ้งในเรื่องคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
3.
ค้นหาสารสนเทศที่ต้องการได้ในเวลาสั้น
4.
ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจสารสนเทศที่นำเสนออย่างชัดเจน
5.
ประหยัดเวลาในการดำเนินงานและการตัดสินใจ
6.
สามารถติดตามและจัดการสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อจำกัดของระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
1.
มีข้อจำกัดในการใช้งาน เนื่องจาก EIS ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะอย่าง
2.
ข้อมูลและการนำเสนออาจไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริหาร
3.
ยากต่อการประเมินประโยชน์และผลตอบแทนที่องค์การจะได้รับ
4.
ไม่ถูกพัฒนาให้ทำการประมวลผลที่ซับซ้อนและหลากหลาย
5.
ซับซ้อนและยากต่อการจัดการข้อมูล
6.
ยากต่อการรักษาความทันสมัยของข้อมูลและของระบบ
7.
ปัญหาด้านการรักษาความลับของข้อมูล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น