ดิจิทัลคอมเมิร์ซ
อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) เรียกว่าเป็นอีกคำหนึ่ง
ที่เราจะได้ยินจากการซื้อของผ่าอินเทอร์เน็ต ซึ่งกระแสของการเติบโตโลก
เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีอัตราการเติบโตสูงมาก รวมทั้งประเทศไทยด้วย
การซื้อ-ขายทั้งหลาย ผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งรวดเร็วและสะดวกมาก
รวมทั้งเรื่องความปลอดภัยในการใช้งานอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อีคอมเมิร์ซ
ไม่ได้ถูกจำเพาะเพียงแค่การซื้อ-ขายระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจกับผู้บริโภคเพียงเท่านั้น
ในยุคปัจจุบัน มีคนหันมาซื้อของผ่านอินเทอร์เน็ตกันมาก
เพราะสามารถทำได้ง่ายและสะดวก ผู้ซื้อสามารถซื้อของหรือใช้บริการต่างๆ ได้ตลอดเวลา
ทั้งกลางวันและกลางคืน
ความหมายของอิเล็กทรอนิกส์
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
หมายถึง การทำธุรกรรมทุกรูปแบบโดยครอบคลุมถึงการซื้อขายสินค้า/บริการ การชำระเงิน
การโฆษณาโดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะเครือข่ายทางอินเทอร์เน็ต
กรมส่งเสริมการส่งออก
กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การดำเนินธุรกิจทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าและบริการผ่าน
และระบบสื่อสารโทรคมนาคมหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์
องค์กรการค้าโลก
ให้คำจำกัดความไว้ว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การผลิต การกระจาย การตลาด
การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์

E-Commerce คือ Electronic Commerce หรือ E-Commerce
คือ
การซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยส่งข้อมูลด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเครือข่าย
เช่น Internet ถ้าผู้ใช้มีเครื่องคอมพิวเตอร์ คู่สายโทรศัพท์
โมเด็ม และเป็นสมาชิกของบริการ Internet ก็สามารถทำการค้าผ่านระบบเครือข่ายได้
E-Commerce เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี Internet กับการจำหน่ายสินค้าและบริการ
โดยสามารถนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้าหรือบริการผ่านทาง Internet
สู่คนทั่วโลกภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ทำให้การดำเนินการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดรายได้ในระยะเวลาอันสั้น
ความสำคัญของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
เนื่องมาจากอัตราการเติบโตของการใช้อินเตอร์เน็ตและการเพิ่มขึ้นของเว็บไซต์ทางธุรกิจที่มีอย่างต่อเนื่อง
ทำให้การประกอบธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางการตลาดขนาดใหญ่ของโลกไร้พรมแดนที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้โดยตรงอย่างรวดเร็ว
ไร้ขีดจำกัดของเรื่องเวลาและสถานที่
การแข่งขันทางการค้าเสรีและระหว่างประเทศที่ต้องแข่งขันและชิงความได้เปรียบกันที่
“ความเร็ว”
ทั้งการนำเสนอสินค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
มีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน
และได้รับความนิยมเพิ่มขันเป็นลำดับ
กรอบแนวคิดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วย 4 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
แอพพลิเคชั่นของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ปัจจัยทางการบริหาร
โครงสร้างพื้นฐาน
ประเภทสินค้าของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
สำหรับสินค้าที่ซื้อขายในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
จำแนกได้ดังนี้
สินค้าที่มีลักษณะเป็นข้อมูลดิจิทัล
(Digital Products)
สินค้าที่ไม่ใช่ข้อมูลดิจิทัล
(Non-Digital Products)
ประเภทของอีคอมเมิร์ซ
มีการแบ่งประเภทอีคอมเมิร์ซกันหลายแบบ
เช่น แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภท
แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 3 ประเภท แบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วน และแบ่ง อีคอมเมิร์ซตามประเภทสินค้าเป็น 2
ประเภท เป็นต้น
อีคอมเมิร์ซ
5 ประเภท ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 5 ประเภทก็ได้ดังต่อไปนี้
ธุรกิจกับผู้ซื้อปลีกหรือบีทูซี
(B-to-C = Business-to-Consumer) คือประเภทที่ผู้ซื้อปลีกใช้อินเตอร์เน็ตในการซื้อสินค้าจากธุรกิจที่โฆษณาอยู่ในอินเตอร์เน็ต
ธุรกิจกับธุรกิจหรือบีทูบี
(B-to-B = Business-to-Business) คือ ประเภท
ที่ธุรกิจกับธุรกิจติดต่อซื้อขายสินค้ากันผ่านอินเตอร์เน็ต
ธุรกิจกับรัฐบาลหรือบีทูจี
(B-to-G = Business-to-Government) คือประเภทที่ธุรกิจติดต่อกับหน่วยราชการ
รัฐบาลกับรัฐบาลหรือจีทูจี
(G-to-G = Government to Government) คือ
ประเภทที่หน่วยงานรัฐบาลหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลอีกหน่วยงานหนึ่ง
ผู้บริโภคกับผู้บริโภคหรือซีทูซี
(C-to-C = Consumer-to-Consumer) คือ
ประเภทที่ผู้บริโภคประกาศขายสินค้าแล้วผู้บริโภคอีกรายหนึ่งก็ซื้อไป เช่น
ที่อีเบย์ดอทคอม (Ebay.com) เป็นต้น
ซึ่งผู้บริโภคสามารถจ่ายเงินให้กันทางบัตรเครดิตได้
อีคอมเมิร์ซ
3 ประเภท ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 3 ประเภทก็อาจจะแบ่งได้ ดังต่อไปนี้
อีคอมเมิร์ซระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจ
หรือ บีทูซี (B-to-C = Business-to-Consumer) ซึ่งอาจจะมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
– การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจโดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
วิดีโอคอนเฟอเร็นซ์ กลุ่มสนทนา กระดานข่าว เป็นต้น
– การจัดการด้านการเงิน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจัดการเรื่องการเงินส่วนตัว
เช่น ฝาก-ถอน เงินกับธนาคาร ซื้อขายหุ้นกับผู้ค้าหุ้น เช่น อีเทรด (www.etrade.com)
เป็นต้น
– ซื้อขายสินค้าและข้อมูล
ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อขายสินค้าและข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตได้โดยสะดวก
อีคอมเมิร์ซภายในองค์กรหรือแบบอินทราออร์ก
(Intra-Org E-commerce) คือ
การใช้อีคอมเมิร์ซในการช่วยให้บริษัทหรือองค์ใดองค์กรหนึ่งสามารถปรับปรุงการทำงานภายในและให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
– การติดต่อสื่อสารภายในองค์กรจะสะดวกรวดเร็วจะได้ผลดีขึ้น
โดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ และป้ายประกาศ เป็นต้น
– การจัดพิมพ์เอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีพับลิซซิง (Electronic Publishing)
ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบเอกสาร จัดพิมพ์เอกสาร
และแจกจ่ายเอกสารได้สะดวกรวดเร็ว และใช้ค่าใช้จ่ายน้อย
ไม่ว่าจะเป็นคู่มือข้อกำหนดสินค้า (Product Specifications) รายงานการประชุม
เป็นต้น ทั้งนี้โดยผ่านเว็บ
– การปรับปรุงประสิทธิภาพพนักงานขาย การใช้อีคอมเมิร์ซแบบนี้ช่วยปรับปรุงการสื่อสารระหว่างฝ่ายผลิตกับฝ่ายขาย
และระหว่างฝ่ายขายกับลูกค้า ทำให้ได้ประสิทธิภาพดีขึ้น
อีคอมเมิร์ซระหว่างองค์กรหรือแบบอินเตอร์ออร์ก
(Inter-Org E-commerce) ซึ่งก็คือแบบเดียวกับแบบที่เรียกว่าบีทูบี
(Business to Business) ทั้งนี้โดยมีตัวอย่างต่อไปนี้
– การจัดซื้อ ช่วยให้จัดซื้อได้ดีขึ้น ทั้งด้านราคา และระยะเวลาการส่งของ
– การจัดการสินค้าคงคลัง
– การจัดส่งสินค้า
– การจัดการช่องทางขายสินค้า
– การจัดการด้านการเงิน
อีคอมเมิร์ซ
6 ส่วน ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซเป็น 6 ส่วนก็แบ่งได้ดังต่อไปนี้
การขายปลีกทางอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเทลลิ่ง
(E-tailing= Electronic Retailing) หรือร้านค้าเสมือนจริง
(Virtual Storefront) ยอดขายปลีกอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริกาใน
ค.ศ. 1999 มีมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท
การวิจัยตลาดทางอิเล็กทรอนิกส์หรือมาร์เก็ตอีรีเซิร์ช
(Market E-research) คือการใช้อินเตอร์เนตในการวิจัยตลาดแบบเดียวกับที่สำนักวิจัยเอแบค-เคเอสซีอินเตอร์เน็ตทำอยู่
จากการใช้อินเตอร์เน็ตนี้ บริษัทห้างร้านสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าปัจจุบัน
และผู้ที่อาจจะเป็นลูกค้าในอนาคต ทั้งจากการลงทะเบียนเข้าใช้ เว็บ
จากแบบสอบถามและจากการสั่งซื้อสินค้าของลูกค้า การวิจัยตลาด
อินเตอร์เน็ตก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
อินเตอร์เน็ตอีดีไอ
หรือการส่งเอกสารตามมาตรฐานอีดีไอโดยใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายต่ำลงก็ถือว่าเป็นอีคอมเมิร์ซประเภทหนึ่ง
โทรสารและโทรศัพท์อินเตอร์เน็ต
การใช้โทรสารและโทรศัพท์ทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ตหรือ วีโอไอพี (VoIP= Voice over IP) นั้นมีราคาต่ำกว่าการใช้โทรสารและโทรศัพท์ธรรมดา
และอาจจะใช้เป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
การซื้อขายระหว่างบริษัทกับบริษัท
บริษัทต่างๆ จำนวนมากในปัจจุบันติดต่อซื้อขายสินค้ากันโดยผ่านเว็บในอินเตอร์เน็ต
ซึ่งก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอีคอมเมิร์ซ
ระบบความปลอดภัยในอีคอมเมิร์ซ
ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของอีคอมเมิร์ซทั้งนี้ในปัจจุบันมีการใช้วิธีต่างๆ เช่น
เอสเอสแอล (SSL= Secure Socket Layer) เซ็ต (SET
= Secure Electronic Transaction) อาร์เอสเอ (RSA = Rivets,
Shamir and Adelman) ดีอีเอส (DES= Data Encryption
Standard) และดีอีเอสสามชั้น (Triple DES) เป็นต้น
อีคอมเมิร์ซ
2 ประเภท สินค้า
ถ้าจะแบ่งอีคอมเมิร์ซตามประเภทสินค้าก็แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
สินค้าดิจิตอล
เช่น ซอฟท์แวร์ เพลง วิดีโอ หนังสือ ดิจิตอล เป็นต้น
ซึ่งสามารถส่งสินค้าได้โดยผ่านอินเตอร์เน็ต
สินค้าที่ไม่ใช่ดิจิตอล
เช่น สินค้าหัตถกรรม สินค้าศิลปะชีพ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม
เครื่องหนังเครื่องประดับ เครื่องจักรอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งต้องส่งสินค้าทางพัสดุภัณฑ์
ผ่านไปรษณีย์หรือบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์
กระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์
มีขั้นตอนที่สำคัญ
5 ขั้นตอน ดังนี้
1. การค้นหาข้อมูล
ขั้นตอนแรกของการซื้อสินค้าเป็นการค้นหาข้อมูลสินค้าที่ต้องการ
แล้วนำข้อมูลแต่ละร้านมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกันโดยใช้เว็บไซต์ที่นิยม หรือ Search Engines เช่น http://www.google.com เป็นต้น
2. การสั่งซื้อสินค้า
เมื่อลูกค้าเลือกสินค้าที่ต้องการแล้ว
จะนำรายการที่ต้องการเข้าสู่ระบบตะกร้า และจะมีการคำนวณ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
โดยลูกค้าสมารถปรับเปลี่ยนรายการและปริมาณที่สั่งได้
3. การชำระเงิน
เมื่อลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าที่ต้องการ
ในขั้นถัดมาจะเป็นการกำหนดวิธีการชำระเงิน
ขึ้นอยู่กับความสะดวกของลูกค้าว่าจะเลือกวิธีไหน
4. การส่งมอบสินค้า
เมื่อลูกค้ากำหนดวิธีการชำระเงินเรียบร้อยแล้ว
จะเข้าสู่วิธีเลือกส่งสินค้า ซึ่งการส่งมอบสินค้าอาจจัดส่งให้ลูกค้าโดยตรง
การใช้บริการบริษัทขนส่งสินค้า หรือส่งผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น
การดาวน์โหลดเพลง เป็นต้น
5. กาให้บริการหลังการขาย
หลังจากเสร็จสิ้นการสั่งสินซื้อแต่ละครั้ง
ร้านค้าต้องมีบริการหลังการขายให้กับลูกค้า
ซึ่งอาจจะเป็นติดต่อกับลูกค้าผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เช่น อีเมล์
และเว็บบอร์ด
Electronic
Commerce หรือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
หมายถึง การทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น
การซื้อขายสินค้าและบริหาร การโฆษณาสินค้า การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
จุดเด่นของ E-Commerce คือ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
โดยลดความสำคัญขององค์ประกอบของธุรกิจที่มองเห็นจับต้องได้ เช่นอาคารที่ทำการ
ห้องจัดแสดงสินค้า (show room) คลังสินค้า
พนักงานขายและพนักงานให้บริการต้อนรับลูกค้า เป็นต้น
ดังนั้นข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์คือ ระยะทางและเวลาทำการแตกต่างกัน
จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจอีกต่อไป
อุปกรณ์และวิธีการทำ
E-commerce
อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วยระบบสื่อสารโทรคมนาคมระบคอมพิวเตอร์และระบบฐานข้อมูล
ระบบสื่อสารอาจเป็นระบบพื้นฐานทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิทยุ โทรทัศน์
แต่ระบบอินเทอร์เน็ตซึ่งเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก เป็นระบบเปิดกว้าง
โดยเป็นระบบเครือข่ายของเครือข่าย ที่เรียกว่า world
wide web มาจากความเป็นเอกลักษณ์คือสามารถสร้างให้มี hyperlink
จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง ไป webpage อื่น
หรือไป website อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังสามารถสื่อได้ทั้งภาพ เสียง และภาษาหนังสือที่หลากหลายซับซ้อน
สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้ทันทีทันใด
ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สามารถบันทึกเก็บไว้หรือนำใช้ต่อเนื่องได้ การประยุกต์ใช้
และกระแสตอบรับธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตจึงแพร่หลายภายในระยะเวลาอันสั้น
E-Commerce ใช้ติดต่อกับลูกค้าได้หลายระดับ
ธุรกิจกับลูกค้า ธุรกิจกับธุรกิจ ธุรกิจกับภาครัฐ ฯ สาระของการติดต่อจะมี 4-5 ประการ คือ
- การขาย รวมการโฆษณา
แสดงสินค้า เสนอราคา สั่งซื้อ คำนวณราคา
- การชำระเงิน
การตกลงวิธีชำระเงิน สั่งโอนเงิน ให้ข้อมูลบัญชีธนาคารที่ใช้ตัดบัญชี
ตลอดจนเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ
- การขนส่ง
แจ้งวิธีการส่งมอบของ ค่าขนส่ง และสถานที่ติดต่อและระบบติดตามสินค้าที่ส่ง
- บริการหลังการขาย
การติดต่อภายในบริษัท เช่นระบบบัญชี คลังสินค้า ระบบสั่งซื้อสินค้าและวัตถุดิบ
สั่งผลิต ตลอดจนบริการลูกค้าหลังการขาย
บทบาทภาครัฐกับ
E-Commerce
เนื่องจากการทำธุรกิจดังกล่าวมีการแข่งขันกันร้อนแรง
ส่วนใหญ่อยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นไปได้ที่คู่ค้าอาจไม่เคยรู้จักติดต่อกันมาก่อน
ปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาครัฐได้แก่ แผนกลยุทธ์การค้าอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ
เพื่อมิให้เสียเปรียบเชิงการค้าในระดับโลก โครงสร้างการสื่อสารที่ดีและเพียงพอ
กฎหมายรองรับข้อมูลและหลักฐานการค้าที่ไม่อยู่ในรูปเอกสาร
ระบบความปลอดภัยข้อมูลบนเครือข่ายและระบบการชำระเงิน
E-Government เป็นอีกมิติหนึ่งของการให้บริการภาครัฐออนไลน์ที่จะเอื้อให้ธุรกิจ
ประชาชน ติดต่อใช้บริการ ในกรอบบริการงานแต่ละด้านของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น
ธนาคารแห่งประเทศไทยให้บริการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์แก่สถาบันการเงิน
กรมทะเบียนการค้าให้บริการจดทะเบียนการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ การทำ E-Procurement
เพื่อการจัดซื้อจัดหาภาครัฐก็เป็นบริการที่ควรดำเนินการ
เพราะจะช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเป็นไปตามกรอบนโยบายของที่ประชุมเอเปคด้วย
ความปลอดภัยกับ
E-Commerce
ระบบความปลอดภัยนับเป็นเรื่องที่โดดเด่นที่สุดและมีเทคโนโลยีความปลอดภัยคือPublic Key ซึ่งมีองค์กรรับรองความถูกต้องเรียกว่า CA
(Certification Authority) ระบบนี้ใช้หลักคณิตศาสตร์คำนวณรหัสคุมข้อความจากผู้ส่งและผู้รับอย่างเฉพาะเจาะจงได้
จึงสามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้รับผู้ส่ง (Authentication) รักษาความปลอดภัยของข้อมูล
(Confidentiality) ความถูกต้องไม่คลาดเคลื่อนของข้อมูล (Integrity)
และผู้ส่งปฏิเสธความเป็นเจ้าของข้อมูลไม่ได้ (Non-repudiation)
เรียกว่าลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signature)
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการมีกฎหมายรองรับการทำธุรกรรมบนเครือข่าย
ประเทศในยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายรับรองการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
และกฎหมายรองรับการทำธุรกิจดังกล่าวสำหรับในประเทศไทยก็เร่งจัดการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
6 ฉบับ โดยกฎหมาย 2
ฉบับแรกที่จะออกใช้ได้ก่อนคือ
กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
การชำระเงินบน
E-Commerce
จากผลการวิจัยพบว่า
วิธีการชำระเงินที่สำคัญสำหรับกรณีธุรกิจกับธุรกิจ ร้อยละ 70 ใช้วิธีหักบัญชีธนาคาร ขณะที่
ธุรกิจกับผู้บริโภคร้อยละ 65 ชำระด้วยบัตรเครดิต
สำหรับในประเทศไทย
ผลการสำรวจพบว่าผู้สั่งสินค้าบนอินเทอร์เน็ตร้อยละ 40-60 ใช้บัตรเครดิต อีกร้อยละ 40
ใช้วิธีโอนเงินในบัญชี ซึ่งหมายความรวมถึง Direct Debit, Debit Card และ Fund Transfer เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบการชำระเงินบนอินเทอร์เน็ต
มีแนวทางการพัฒนาเพื่อบริการชำระเงินดังนี้
1. บริการ internet
banking และ/หรือธุรกิจประเภท Payment Gateway จะเป็น hyperlink ระหว่าง website ของร้านค้ากับระบบของธนาคาร
และธนาคารสามารถดำเนินการตามข้อมูลที่ได้รับเพื่อตัดโอนเงินในบัญชีของลูกค้า
หรือส่งเป็นคำสั่งโอนเข้าระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
2.สำหรับการชำระเงินที่เป็น Micro
Payment การใช้เงินดิจิทัลซึ่งบันทึกบนบัตรสมาร์ตการ์ด หรือเครื่องคอมพิวเตอร์
สามารถสร้างเสริมระบบความปลอดภัยให้มั่นใจได้เหนือกว่าระบบบัตรเดบิตและบัตรเครดิตทั่วไป
จึงเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเหมาะสม

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น