ความหมายของคำว่า
เทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT) หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication
Technologies: ICTs) ก็คือ
เทคโนโลยีสองด้าน หลัก ๆ
ที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมที่ผนวกเข้าด้วยกัน
เพื่อใช้ในกระบวนการจัดหา จัดเก็บ สร้าง และเผยแพร่สารสนเทศในรูปต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นเสียง ภาพ ภาพเคลื่อนไหว ข้อความหรือตัวอักษร และตัวเลข
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้อง ความแม่นยำ
และความรวดเร็วให้ทันต่อการนำไปใช้ประโยชน์
เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บประมวลผล
และเผยแพร่สารสนเทศ ซึ่งรวมแล้วก็คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม
หรือ Computer and Communications ที่นิยมเรียกกันย่อ ๆ ว่า C & C อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่จะนับเทคโนโลยีอื่น ๆ
ที่เป็นองค์ประกอบของ C
& C และเกี่ยวเนื่องเข้ามาเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย
เช่นเทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ
เทคโนโลยีการพิมพ์ เทคโนโลยีสำนักอัตโนมัติ เทคโนโลยีการศึกษา
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) หมายถึง การนำวิทยาการที่ก้าวหน้าทางด้านคอมพิวเตอร์และการสื่อสารมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสารสนเทศ
ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น
เทคโนโลยีสารสนเทศรวมถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ ในการรวบรวมจัดเก็บใช้งาน ส่งต่อ
หรือสื่อสารระหว่างกัน เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครื่องมือเครื่องใช้ในการจัดการสารสนเทศ
ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์รอบข้าง
ขั้นตอนวิธีการดำเนินการซึ่งเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ เกี่ยวข้องกับข้อมูล
บุคลากร และกรรมวิธีการดำเนินงานเพื่อให้ข้อมูลเกิดประโยชน์สูงสุด
ปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศ
ไปประยุกต์กันอย่างกว้างขวาง งานประยุกต์ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ
การสร้างระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ
มีการนำเครื่องมือและอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์
ระบบการสื่อสารโทรคมนาคมไปใช้ในหน่วยงานหรือธุรกิจต่าง
ๆ มุ่งไปที่การคิดค้นวิธีการจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูล
การจัดระบบข้อมูลให้ผู้ใช้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างรวดเร็วรวมถึงการจัดทำรายงาน
ตลอดจนการจัดทำผลลัพธ์ของข้อมูลให้สามารถค้นคืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.การสื่อสารโทรคมนาคม
การสื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunication) หมายถึง
การติดต่อสื่อสารด้วยการรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างตัวประมวลผล โดยผ่านสื่อกลางที่เชื่อมต้นทางและปลายทางที่ห่างกัน
โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรูปแบบ ตามกฎเกณฑ์
หรือระเบียบวิธีการที่กำหนดขึ้นในแต่ละอุปกรณ์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึง
การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป เพื่อขยายขีดความสามารถที่มีจำกัด
ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือแบ่งปันทรัพยากรให้มีการใช้งานร่วมกัน
โปรโตคอล (Protocol) หมายถึง ระเบียบวิธีการ มาตรฐาน
หรือกฎเกณฑ์ในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกันของเครื่องมืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ
หรือ วิธีที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อการสื่อสารข้อมูล
ซึ่งผู้ส่งข้อมูลจะต้องส่งข้อมูลในรูปแบบตามวิธีการสื่อสารที่ตกลงไว้กับผู้รับข้อมูล
จึงจะสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้
อินเทอร์เน็ต (Internet) หมายถึง
การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ตามโครงการของอาร์ป้าเน็ต (ARPAnet
= Advanced Research Projects Agency Network) เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ
(U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ
ปีค.ศ.1960(พ.ศ.2503)
และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา
– ความหมายของการสื่อสาร การสื่อสารข้อมูล
และโทรคมนาคม
– แนวโน้มของการสื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunication
Trends)
ความหมายของการสื่อสาร
การสื่อสารข้อมูล และโทรคมนาคม
การสื่อสาร (Communication) หมายถึงการติดต่อระหว่างมนุษย์โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอหรือแลกเปลี่ยนข่าวสาร
ข้อมูล ความต้องการ ความรู้สึกนึกคิด
ตลอดจนความคิดเห็นให้รับรู้เรื่องราวร่วมกันและเกิดการตอบสนองระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร
โดยอาศัยสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร
สื่อสารข้อมูล (Data Communication) หมายถึง การส่งหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล และสารสนเทศ
จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยผ่านช่องทางการสื่อสาร (Communication
Channel) แต่ข้อมูลที่ส่งถึงกันนั้นจะเป็นเพียงข้อมูล
(Data) เท่านั้นไม่รวมเสียงพูด
(Voice)
โทรคมนาคม (Telecommunication) หมายถึง การติดต่อสื่อสารระหว่างกันในระยะทางไกล
ๆ โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารเหมือนกับการสื่อสารข้อมูล แต่สามารถส่งได้ทั้งข้อมูล
(Data) และเสียงพูด (Voice)
แนวโน้มของการสื่อสารโทรคมนาคม
(Telecommunication Trends)
เนื่องจาก
ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร
ทำให้มนุษย์ในปัจจุบันสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกัน
แค่ไหนก็ตาม จึงก่อให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้กับธุรกิจ
เพื่อสร้างทางเลือกการตัดสินใจและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจมากยิ่ง ขึ้น
ดังนั้นผู้อ่านจึงควรทราบแนวโน้มที่เกิดขึ้นกับการสื่อสารโทรคมนาคม
โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่
แนวโน้มด้านอุตสาหกรรมการสื่อสาร
แนวโน้มด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและแนวโน้มด้านแอปพลิเคชั่นธุรกิจ
1. แนวโน้มด้านอุตสาหกรรมการสื่อสาร
(Industry Trends)
เมื่อ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมการสื่อสารโทรคมนาคมในหลายๆประเทศ
โดยได้เปลี่ยนจากการควบคุมดูแลของรัฐเพียงเดียว
มาเป็นการแข่งขันการให้บริการระหว่างบริษัทผู้ให้บริการหลาย ๆ
รายซึ่งผู้ให้บริการเหล่านี้ได้เตรียมทางเลือกไว้หลาย ๆ ทางเพื่อให้องค์กร
บริษัทเอกชน
และผู้บริโภคทั่วไปได้เลือกใช้บริการทางการสื่อสารตั้งแต่โทรศัพท์ภายใน
ประเทศไปจนถึงการสือสารผ่านดาวเทียม เคเบิลทีวี โทรศัพท์เคลื่อนที่
และการใช้อินเตอร์เน็ต
การเติบโตอย่างรวดเร็วของอินเตอร์และ WWW
(World Wide Web) ได้
ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ บริการและผู้ให้บริการทางด้านการสื่อสารโทรคมนาคมมากมาย
เพื่อสนองตอบต่อการเติบโตดังกล่าวบริษัทเอกชนหรือองค์กรต่างๆ จึงได้เพิ่ม
ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ต และเว็บไซต์เพื่อการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce)และการทำงานร่วมกัน (Collaboration) มากขึ้นดังนั้นการพบปะสนทนาเพื่อนำเสนอบริการและฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์
์แก่บริษัทที่ต้องการใช้การสื่อสารโทรคมนาคมนี้จึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
2.แนวโน้มด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร
(Technology Trends)
เนื่องจาก
การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ส่งผลให้เกิดแรงผลักด้นในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ
เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจและอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น เช่น
เว็บบราวเซอร์เครื่องมือในการเขียนภาษา HTML เพื่อสร้างเว็บเพจ ซอฟแวร์เพื่อการจัดการเครือข่าย
ไฟร์วอลล์ เป็นต้น
เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ในแอปพลิเคชั่นบนเครือข่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
แอปพลิเคชั่นสำหรับE-commerce และการทำงานร่วมกัน
เพื่อการเติบโตขององค์กรโดยแนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่าน
ี้ได้มุ่งไปสู่การสร้างเครือข่ายไคลเอ็นท์/เซิร์ฟเวอร์บนพื้นฐานของ
สถาปัตยกรรมระบบเปิด (Open System)
ระบบเปิด (Open System) คือ ระบบสารสนเทศที่ใช้ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์
แอปพลิเคชั่น
และเครือข่ายที่เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถ
เชื่อมต่อและเข้าถึงสารสนเทศได้ง่าย ด้วยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของพวกเขาเอง
โดยระบบเปิดนี้จะต้องมีความสามารถในการเชื่อมต่อที่ดี
กล่าวคือเป็นความสามารถของระบบที่ประกอบไปด้วยคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ
มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย เพื่อให้เข้าถึงและใช้งานสารสนเทศและอุปกรณ์ต่าง
ๆ ได้ง่ายระบบเปิดบางระบบนั้นอาจจะมีความสามารถในการทำงานร่วมกันบนเครือข่าย
ได้นั้น คือผู้ใช้งานสามารถสร้างแอปพลิเคชั่นที่แตกต่างกันหลาย ๆ
แอปพลิเคชั่นให้สำเร็จโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์
ซอฟต์แวร์และฐานข้อมูลที่แตกต่างกันบนเครือข่ายที่ต่างกันได้
บ่อยครั้งที่มีการนำซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า “มิดเดิลแวร์ (Middle)” มาใช้เพื่อช่วยให้ระบบที่แตกต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้
แนว
โน้มการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีการสื่อสารที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งก็คือ
การเปลี่ยนแปลงการใช้สื่อกลางในการส่งข้อมูลที่เป็นสายทองแดง
และระบบการสื่อสารด้วยไมโครเวฟบนพื้นดินมาเป็นการใช้เคเบิลใยแก้วนำแสง เซล
ลูลาร์ดาวเทียมสื่อสารและเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายแบบอื่น ๆ
โดยการใช้เคเบิลใยแก้วนำแสงจะทำให้ส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ด้วยความเร็วแสง
ไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวน และใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อยกว่าสายสัญญาณแบบอื่น
การใช้ดาวเทียมสื่อสารทำให้สามารถส่งข้อมูลภาพและเสียงที่มีปริมาณมหาศาล
ข้ามซีกโลกได้อย่างรวดเร็ว การใช้เซลลูลาร์หรือเครือข่ายไร้สายอื่น ๆ
จะอำนวยความสะดวกต่อการใช้อุปกรณ์พกพาแบบต่าง ๆ ให้สามารถสื่อสารกับเครือข่ายทั่วโลกได้
3.แนวโน้มด้านแอปพลิเคชั่นธุรกิจ
(Business Application Trends)
การ
เปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีการสื่อสารดังกล่าว
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแวดวงธุรกิจที่ใช้การติดต่อสื่อสาร
โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับผู้จำหน่ายฮาร์ดแวร์การให้บริการอินเตอร์เน็ต
และระบบเปิดนอกจากนี้จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของอินเตอร์เน็ต WWW อินทราเน็ตและเอ็กซ์ทราเน็ต ทำให้มีแอปพลิเคชั่นที่ทำให้สามารถทำงานร่วมกันระหว่าง
2 บริษัทหรือมากกว่า
รวม
ทั้งแอปพลิเคชั่นที่ภายในองค์กร
เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานการจัดการและการวางแผนกลยุทธ์
ดังนั้นเครือข่ายโทรคมนาคม จึงมีบทบาทและมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก
การ
มีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดต้นทุน ลดเวลาในการติดต่อสื่อสาร การใช้งานทรัพยากรร่วมกัน (Share
Resources) การทำงานร่วมกันเป็นทีมและสนับสนุน
E-commerce เป็นต้น
ส่งผลให้การตัดสินใจมีความสำคัญและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่ต้องมีการแข่งขันกันทั้งภายในและภายนอก
เมื่อ
เห็นแนวโน้มและความสำคัญในการใช้การสื่อสารโทรคมนาคมแล้ว
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงองค์ประกอบรูปแบบของการติดต่อสื่อสารและ
เครือข่ายคอมพิวเตอร ์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินธุรกิจ
2. ชนิดของสัญญาญข้อมูล
(Signal Types)
ความแตกต่างระหว่างสััญญาณ
Analog และ Digital
สัญญาณอนาล็อก (Analog Signal) หมายถึง
สัญญาณที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือการเคลื่อนที่ของ ข้อมูลแบบต่อเนื่อง (Continuouse
Data) โดยสัญญาณจะมีขนาดไม่คงที่
มีการเปลี่ยนแปลงขนาดของ สัญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไป
และจะมีลักษณะเป็นเส้นโค้งต่อเนื่องกันไป ยกตัวอย่างเช่น การที่เราโยน
ก้อนหินลงน้ำ บนผิวน้ำเราจะเห็นว่า น้ำจะมีการเคลื่อนตัวเป็นคลื่น
กระจายออกเป็นวงกลมรอบจุดที่หินจม ระดับคลื่นจะสังเกตุได้ว่าเริ่มจากจุดกลางแล้วขึ้นสูง
แล้วกลับมาที่จุดกลางแล้วลงต่ำ แล้วกลับมาที่จุดกลาง เป็นลักษณะนี้ติดต่อกันไป
แต่ละครั้งของวงรอบเราเรียกว่า 1 Cycle โดยการเคลื่อนที่ของสัญญาณ
อนาล็อก (Analog Signal) นี้
จะมีระยะทางและเวลาเป็นตัวกำหนดด้วย จึงทำให้มีผลต่อการส่งสัญญาณ อนาล็อก (Analog
Signal) ส่วนใหญ่จึงสามารถถูกรบกวนได้ง่าย
ไม่ว่าจะเป็นจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หรือจากตัวของระบบอุปกรณ์เอง
เพราะสัญญาณที่ส่งออกไปนั้นจะเป็นสัญญาณจริง และเมื่อถูกรบกวนก็อาจ
จะทำให้คลื่นสัญญาณมีการเปลี่ยนไป จึงทำให้ผู้รับหรือปลายทางนั้นมีการแปลความหมายผิดพลาดได้
เช่น สัญญาณเสียง เป็นต้น
สัญญาณดิจิตอล (Digital Signal) หมายถึง
สัญญาณที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data) ที่มีขนาดแน่นอนซึ่งขนาดดังกล่าวอาจกระโดดไปมาระหว่างค่าสองค่า
คือ สัญญาณ ระดับสูงสุดและสัญญาณระดับต่ำสุด
ซึ่งสัญญาณดิจิตอลนี้เป็นสัญญาณที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการทำงานและ ติดต่อสื่อสารกัน
หรือกล่าวได้ว่าสัญญาณดิจิตอลก็คือการที่เรานำเอาสัญญาณ Analog (อนาล็อก) มา แปลงให้อยู่ในรูปแบบของตัวเลข (0,1)
โดยการแปลงสัญญาณนี้ต้องอาศัยวงจรประเภทหน่ึงที่เรียกว่า
A To D (A/D) หรือ Analog
To Digital converter โดยวงจร A/D
หลังจากนั้น ก็จะได้สัญญาณ Digital
ออกมาเป็นสัญญาณในรูปแบบของตัวเลข (0,1)
นั่นเอง
โดยจะเป็นสัญญาณที่เกิดจากแรงดันของ ไฟฟ้าจะมีอยู่ 2 ค่าคือ 0 = Min และ 1 = Max โดยค่า Min จะมีแรงดันไฟฟ้าอินพุต อยู่ที่ประมาน 0 โวลต์ และ Max จะมีแรงดันไฟฟ้าอินพุต อยู่ที่ประมาน 5 โวลต์ ดังนั้นสัญญาณชนิดนี้มนุษย์เรา
จึงไม่สามารถสัมผัสหรือรับรู้ได้เลย และเมื่อได้เป็นสัญญาณ Digital ออกมาแล้ว จึงทำการส่งข้อมูลไปยัง
ผู้รับหรือปลายทาง ทางฝั่งผู้รับหรือปลายทางจะต้องมีตัวแปลงสัญญาณจาก Digital
ให้กลับเป็น Analog อีกครั้ง โดยผ่านตัวแปลง คือ D To A (D/A)
หรือ Digital To Analog
converter

เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสัญญาณ
Analog และ สัญญาณ Digital
สรุปได้ว่าสัญญาณ Digital เปรียบเสมือนการเปลี่ยนรูปแบบจากสัญญาณ Analog
ที่เป็นสัญญาณ คลื่นให้
เป็นสัญญาณไฟฟ้า
ความแตกต่างของระบบระบบกล้องวงจรปิด CCTV ระหว่าง Analog, IP, และ HD-SDI
ทุกวันนี้ระบบโทรทัศน์วงจรปิด
หรือเรียกกันติดปากว่าระบบกล้องวงจรปิด CCTV ได้ถูกนำมาใช้ด้วย กันหลายระบบ แบ่งเป็น 3 ประเภท
1. ระบบ Analog
เป็นระบบที่ใช้ตั้งแต่มีการคิดค้นระบบกล้องวงจรปิด
CCTV ระบบ Analog
เป็นระบบที่ใช้สาย สัญญาณ (Coax
cable) เช่น สาย RG6
RG11
ข้อดี
ต้นทุน :
ระบบอนาล๊อกมีต้นทุนที่ถูกกว่าระบบ IP
ยืดหยุ่นกว่า :
เนื่องจากว่ามีกล้องหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ ตั้งแต่ระบบเล็กไปถึงระบบ
ใหญ่ที่มีอินฟราเรดตั้งตั้งมาพร้อมกับกล้องทำให้มีตัวเลือกสำหรับการใช้งานประเภทต่าง
ๆ ได้อย่าง เหมาะสม
ความเข้ากันได้
: ในระบบอนาล๊อก มีเพียงระบบ PAL และ NTSC
เท่านั้น ทำให้สามารถ
เลือกกล้องต่างยี่ห้อมารวมในระบบเดียวกันได้
ปัญหาน้อย :
เนื่องจากว่าระบบอนาล็อกถูกพัฒนามามากจนแทบจะเรียกได้ว่า อยู่ในช่วง
สุดท้ายของเทคโนโลยีของระบบอนาล๊อกแล้ว ทำให้ปัญหาต่างๆถูกแก้ไขไปจนหมด ปัญหาต่าง
ๆ ของระบบอนาล็อก จึงเกิดขึ้นน้อยมาก
ช่างที่ทำการติดตั้งไม่ต้องมีความรู้ด้านเน็ตเวิร์ก
ก็สามารถติดตั้งได้
ข้อเสีย
Function : ระบบอนาล๊อกไม่มีฟังชั่นเช่นเดียวกับที่กล้อง
IP มี
เว้นแต่กล้องอนา็๊ล็อกที่มี ราคาสูงมาก ๆ เท่านั้น
ความปลอดภัย :
ระบบอนาล็อกมีความปลอดภัยน้อย เนื่องจากว่าไม่มีการเข้ารหัสของข้อมูล ไม่ว่าใครก็
สามารถดูภาพจากกล้องวงจรปิดได้
ระยะทาง :
ไม่สามารถรองรับการส่งสัญญานในระยะไกล ๆ ได้
ความละเอียดของภาพที่ได้ไม่มาก
เนื่องจากระบบ Analog ไม่สามารถส่งภาพที่มีความ
ละเอียดสูงได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านสาย
2. ระบบ IP
(Network)
เป็นระบบกล้องวงจรปิด CCTV ที่นำมาใช้แทนระบบ Analog ซึ่งระบบ IP จะส่งสัญญาณในรูปแบบ Digital ทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัด
ไม่เกิดการสูญหายของสัญญาณ คือถ้ามีการเดินระบบผิดพลาด ภาพก็จะไม่แสดงเลย
แต่ถ้าเดินระบบได้ถูกต้องภาพจะมีความชัดตามคุณภาพของกล้องที่ส่งภาพมา ซึ่งต่าง
กับระบบ Analog ที่ภาพจะมีทั้ง
ภาพชัด ภาพไม่ชัด และภาพหาย สายสัญญาณที่ใช้ในระบบ Digital ส่วนมากจะเป็นสาย Cat5
ข้อดี
Wireless : สนับสนุนการทำงานผ่านระบบไร้สายมากกว่า
Analog
ระบบเครือข่ายเดิม
: กล้อง IP สามารถใช้ร่วมกับระบบ
LAN ที่มีอยู่แล้วได้โดยไม่ต้องเดิน
สายใหม่
พิ่มกล้องได้ง่าย
: หากต้องการเพิ่มกล้องสามารถทำได้ง่าย โดยไม่ติดข้อจำกัดในส่วนของ Channel
ที่จำกัดของ DVR อีกต่อไป
ประสิทธิภาพสูง
: เนื่องจากกล้อง IP แต่ละตัวทำงานแยกอิสระ
ไม่ได้ส่งภาพไปประมวลผล ที่ตัวกล้อง ทำให้ได้ภาพที่มีคุณภาพ "เต็มที่"
ไม่อั้นที่ DVR อีกต่อไป
แต่ละตัวมี IP
ของตัวเอง
ทำให้การตั้งค่ากล้องแต่ละตัวทำได้ง่าย
ความละเอียด :
เนื่องจากเป็นระบบ Digital ทำให้สามารถข้ามข้อจำกัดที่ระบบ
Analog ไม่
สามารถทำได้นั่นคือ ข้ามจาก 576 TVL ไปเป็น
1080p หรือ "Hidefinition"
ทำให้ได้ภาพที่มี ความละเอียด
"สูงมาก" เปรียบเสมือนกับระบบ Analog คือการที่เราดูหนังจาก VDO ธรรมดา แต่ ระบบ Digital เทียบได้กับการดูหนังแบบ Blue ray ได้เลยทีเดียว
POE : บางรุ่นสามารถส่งสายไฟไปพร้อมกับสาย
LAN ได้
โดยไม่ต้องเดินสายไฟแยกเพิ่ม ออกไปอีกต่างหาก
ความปลอดภัยสูงมาก
: เนื่องจากการทำงานบนของระบบ Digial สามารถที่จะ
Backup ข้อมูลบน Server
ได้ตลอดเวลา และ Hacker ไม่สามารถ "ดัก"เอาข้อมูลระหว่างทางได้
ข้อเสีย
การส่งผ่านข้อมูล
: เนื่องจากใช้ Brandwidth สูงมาก
ตั้งแต่ 500 kbps ถึง 1.5
Mbps ทำให้ระบบทำงานหนัก
ต้นทุน :
ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นกว่าระบบAnalog ไม่ว่าจะเป็นค่าอุปกรณ์,
การดูแลรักษา แต่ก็มี
แนวโน้มที่ลดลงจากเมื่อก่อนมาก
ใช้ข้ามยี่ห้อไม่ได้
: เนื่องจากระบบถูกพัฒนาจากหลายรายทำให้มีมากกว่า 1 มาตราฐาน จึงไม่สามารถใช้กล้องที่มี Protocal
ต่างกันเพื่อติดต่อกันได้
หรือให้เข้าใจง่ายๆคือ "ข้ามยี่ห้อไม่ได้" นั่นเอง
ผู้ติดตั้งจะต้องมีความรู้ทางด้าน
Network รวมไปถึง
ความรู้ของผู้ที่บริหารจัดการข้อมูล
3. ระบบ HD-SDI
กล้องวงจรปิด CCTV แบบ SDI ย่อมาจาก
Serial Digital Interface เป็นระบบ
Digital ที่ใช้สาย
สัญญาณแบบ Coax หรือ
แบบเดิมที่เป็น RG6 เป็นตัวนำสัญญาณ
ระบบนี้สามารถส่งสัญญาณภาพโดย ไม่จำเป็นต้องบีบอัดสัญญาณ
เพราะระบบรองรับการส่งสัญญาณที่มีความละเอียดมากกว่าความละเอียด แบบธรรมดาถึง 5
เท่า
ทำให้สัญญาณภาพมีความคมชัดในระดับ HD
ข้อดี
สามารถใช้สายสัญญาณเดิมของระบบ
Analog ได้ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการ
Upgrade
ภาพมีความคมชัดสูง
ผู้ติดตั้ง
ไม่จำเป็นต้องมีความชำนาญด้านระบบเน็ตเวิร์ค
ข้อเสีย
ราคาของกล้องและเครื่องบันทึก
ยังมีราคาสูงอยู่ แต่ก็มีแนวโน้มลดลง
ตัวกล้องยังมีให้เลือกน้อย
ผู้ผลิตกล้องวงจรปิด ยังไม่ได้ทำการผลิตระบบนี้ในจำนวนมาก
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างภาพที่ได้จาก
กล้องวงจรปิด CCTV ระบบ Analog
และ ระบบ Digital
ตารางเปรียบเทียบความละเอียดของภาพในช่วงที่ต่างกัน
3.องค์ประกอบของการสื่อสาร
ความหมายและองค์ประกอบของการสื่อสาร
การสื่อสาร (Communication) หมายถึง
กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร
มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกริยาตอบสนองกลับมา
โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ
องค์ประกอบของการสื่อสาร ประกอบด้วย
1. ผู้ส่งข่าวสาร (Sender)
2. ข้อมูลข่าวสาร (Message)
3. สื่อในช่องทางการสื่อสาร (Media)
4. ผู้รับข่าวสาร (Receivers)
5. ความเข้าใจและการตอบสนอง
กระบวนการสื่อสาร
กระบวนการสื่อสาร (Communication Process)
โดยทั่วไปเริ่มต้นจากผู้ส่งข่าวสาร (Sender)
ทำหน้าที่เก็บรวบรวมแนวความคิดหรือข้อมูล
จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เมื่อต้องการส่งข่าวไปยังผู้รับข่าวสาร
ก็จะแปลงแนวความคิดหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องออกมาเป็น ตัวอักษร น้ำเสียง สี
การเคลื่อนไหว ฯลฯ ซึ่งเรียกว่าข่าวสาร (Massage) จะได้รับการใส่รหัส(Encoding) แล้วส่งไปยังผู้รับข่าวสาร (Receivers) ผ่านสื่อกลาง (Media) ในช่องทางการสื่อสาร (Communication
Channels)ประเภทต่าง ๆ
หรืออาจจะถูกส่งจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสารโดยตรงก็ได้ ผู้รับข่าวสาร
เมื่อได้รับข่าวสารแล้วจะถอดรหัส (Decoding) ตามความเข้าใจและประสบการณ์ในอดีต
หรือสภาพแวดล้อมในขณะนั้น และมีปฏิกริยาตอบสนอง
กลับไปยังผู้ส่งข่าวสารซึ่งอยู่ในรูปขอความรู้
ความเข้าใจ การตอบรับ การปฏิเสธหรือการนิ่งเงียงก็เป็นได้
ทั้งนี้ข่าวสารที่ถูกส่งจากผู้ส่งข่าวสารอาจจะไม่ถึงผู้รับข่าวสารทั้งหมดก็เป็นได้
หรือข่าวสารอาจถูกบิดเบือนไปเพราะในกระบวนการสื่อสาร ย่อมมีโอกาสเกิดสิ่งรบกวน
หรือตัวแทรกแซง(Noise or Interferes) ได้
ทุกขั้นตอนของการสื่อสาร
คุณลักษณะของผู้ประสบความสำเร็จในการสื่อสาร
1. มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ
2. มีทักษะในการสื่อสาร
3. เป็นคนช่างสังเกต เรียนรู้ได้เร็ว และมีความจำดี
4. มีความซื่อตรง
มีความกล้าที่จะกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
5. มีความคิดสุขุม รอบคอบ
6. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
7. คิดและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
8. มีความสามารถแยกแยะและจัดระเบียบข่าวสารต่าง ๆ
9. มีความสามารถในการเขียนได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
10. มีศิลปะและเทคนิคการจูงใจคน
11. รู้ขั้นตอนการทำงาน
12. มีมนุษยสัมพันธ์ดี
การสื่อสาร (Communication) หมายถึง
กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร
มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกริยาตอบสนองกลับมา
โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ
องค์ประกอบของการสื่อสาร ประกอบด้วย
1. ผู้ส่งข่าวสาร (Sender)
2. ข้อมูลข่าวสาร (Message)
3. สื่อในช่องทางการสื่อสาร (Media)
4. ผู้รับข่าวสาร (Receivers)
5. ความเข้าใจและการตอบสนอง
ความหมายและองค์ประกอบของการสื่อสาร
การสื่อสาร (Communication) หมายถึง
กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร
มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกริยาตอบสนองกลับมา
โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการองค์ประกอบของการสื่อสาร ประกอบด้วย
1.ผู้ส่งข้อมูล (Sender)
2.ผู้รับข้อมูล (Receiver)
3.ข้อมูล (Data)
4.สื่อนำข้อมูล (Medium)
5.โปรโตคอล (Protocol)
1. ผู้ส่ง
(Sender) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งข่าวสาร
(Message) เป็นต้นทางของการสื่อสารข้อมูลมีหน้าที่เตรียมสร้างข้อมูล
เช่น ผู้พูด โทรทัศน์ กล้องวิดีโอ เป็นต้น
2. ผู้รับ
(Receiver) เป็นปลายทางการสื่อสาร
มีหน้าที่รับข้อมูลที่ส่งมาให้ เช่น ผู้ฟัง เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องพิมพ์
เป็นต้น
3. สื่อกลาง
(Medium) หรือตัวกลาง
เป็นเส้นทางการสื่อสารเพื่อนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง
สื่อส่งข้อมูลอาจเป็นสายคู่บิดเกลียว สายโคแอกเชียล สายใยแก้วนำแสง
หรือคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น เลเซอร์ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุภาคพื้นดิน
หรือคลื่นวิทยุผ่านดาวเทียม
4. ข้อมูลข่าวสาร
(Message) คือสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผ่านไปในระบบสื่อสาร
ซึ่งอาจถูกเรียกว่า สารสนเทศ (Information) โดยแบ่งเป็น 5รูปแบบ ดังนี้
4.1 ข้อความ (Text) ใช้แทนตัวอักขระต่าง ๆ ซึ่งจะแทนด้วยรหัสต่าง ๆ
เช่น รหัสแอสกี เป็นต้น
4.2 ตัวเลข (Number) ใช้แทนตัวเลขต่าง ๆ
ซึ่งตัวเลขไม่ได้ถูกแทนด้วยรหัสแอสกีแต่จะถูกแปลงเป็นเลขฐานสองโดยตรง
4.3 รูปภาพ (Images) ข้อมูลของรูปภาพจะแทนด้วยจุดสีเรียงกันไปตามขนาดของรูปภาพ
4.4 เสียง (Audio) ข้อมูลเสียงจะแตกต่างจากข้อความ ตัวเลข
และรูปภาพเพราะข้อมูลเสียงจะเป็นสัญญาณต่อเนื่องกันไป
4.5 วิดีโอ (Video) ใช้แสดงภาพเคลื่อนไหว
ซึ่งเกิดจากการรวมกันของรูปภาพหลาย ๆ รูป
5. โปรโตคอล
(Protocol) คือ
วิธีการหรือกฎระเบียบที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลเพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งสามารถเข้าใจกันหรือคุยกันรู้เรื่อง
โดยทั้งสองฝั่งทั้งผู้รับและผู้ส่งได้ตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
ในคอมพิวเตอร์โปรโตคอลอยู่ในส่วนของซอฟต์แวร์ที่มีหน้าที่ทำให้การดำเนินงาน
ในการสื่อสารข้อมูลเป็นไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น X.25, SDLC,
HDLC, และ TCP/IP
เป็นต้น
4. ประเภทของระบบเครือข่าย
1. LAN (Local Area Network)
ระบบเครื่องข่ายท้องถิ่น
เป็นเน็ตเวิร์กในระยะทางไม่เกิน 10 กิโลเมตร
ไม่ต้องใช้โครงข่ายการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์
คือจะเป็นระบบเครือข่ายที่อยู่ภายในอาคารเดียวกันหรือต่างอาคาร ในระยะใกล้ๆ
2. MAN (Metropolitan Area Network)
ระบบเครือข่ายเมือง
เป็นเน็ตเวิร์กที่จะต้องใช้โครงข่ายการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์
หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นการติดต่อกันในเมือง เช่น
เครื่องเวิร์กสเตชั่นอยู่ที่สุขุมวิท
มีการติดต่อสื่อสารกับเครื่องเวิร์กสเตชั่นที่บางรัก
3. WAN (Wide Area Network)
ระบบเครือข่ายกว้างไกล หรือเรียกได้ว่าเป็น World
Wide ของระบบเน็ตเวิร์ก
โดยจะเป็นการสื่อสารในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลก จะต้องใช้มีเดีย(Media)
ในการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์
หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย (คู่สายโทรศัพท์ dial-up / คู่สายเช่า Leased line / ISDN)
(lntegrated Service Digital Network สามารถส่งได้ทั้งข้อมูล
เสียง และภาพในเวลาเดียวกัน)
ประเภทของระบบเครือข่าย
Peer To Peer
เป็นระบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนระบบเครือข่ายมีฐานเท่าเทียมกัน
คือทุกเครื่องสามารถจะใช้ไฟล์ในเครื่องอื่นได้
และสามารถให้เครื่องอื่นมาใช้ไฟล์ของตนเองได้เช่นกัน ระบบ Peer To Peer มีการทำงานแบบดิสทริบิวท์(Distributed
System) โดยจะกระจายทรัพยากรต่างๆ
ไปสู่เวิร์กสเตชั่นอื่นๆ แต่จะมีปัญหาเรื่องการรักษาความปลอดภัย
เนื่องจากข้อมูลที่เป้นความลับจะถูกส่งออกไปสู่คอมพิวเตอร์อื่นเช่นกันโปรแกรมที่ทำงานแบบ
Peer To Peer คือ Windows
for Workgroup และ Personal
Netware
Client / Server
เป็นระบบการทำงานแบบ Distributed
Processing หรือการประมวลผลแบบกระจาย
โดยจะแบ่งการประมวลผลระหว่างเครื่องเซิร์ฟเวอร์กับเครื่องไคลเอ็นต์
แทนที่แอพพลิเคชั่นจะทำงานอย ู่เฉพาะบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์
ก็แบ่งการคำนวณของโปรแกรมแอพพลิเคชั่น มาทำงานบนเครื่องไคลเอ็นต์ด้วย
และเมื่อใดที่เครื่องไคลเอ็นต์ต้องการผลลัพธ์ของข้อมูลบางส่วน
จะมีการเรียกใช้ไปยัง เครื่องเซิร์ฟเวอร์ให้นำเฉพาะข้อมูลบางส่วนเท่านั้นส่งกลับ
มาให้เครื่องไคลเอ็นต์เพื่อทำการคำนวณข้อมูลนั้นต่อไป
รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย LAN
Topology
ระบบ Bus การเชื่อมต่อแบบบัสจะมีสายหลัก 1 เส้น เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งเซิร์ฟเวอร์
และไคลเอ็นต์ทุกเครื่องจะต้องเชื่อมต่อสายเคเบิ้ลหลักเส้นนี้
โดยเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกมองเป็น Node เมื่อเครื่องไคลเอ็นต์เครื่องที่หนึ่ง
(Node A) ต้องการส่งข้อมูลให้กับเครื่องที่สอง
(Node C) จะต้องส่งข้อมูล
และแอดเดรสของ Node C ลงไปบนบัสสายเคเบิ้ลนี้
เมื่อเครื่องที่ Node C ได้รับข้อมูลแล้วจะนำข้อมูล
ไปทำงานต่อทันที
ข้อดี
ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการวางสายเคเบิลมากนักสามารถขยายระบบได้ง่ายเสียค่าใช้จ่ายน้อย
ข้อเสีย
อาจเกิดข้อผิดพลาดง่าย
เนื่องจากทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อยู่บนสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว
ดังนั้นหากมีการขาดที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง
ก็จะทำให้เครื่องอื่นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดในระบบไม่สามารถใช้งานได้ตามไปด้วยการตรวจหาโหนดเสีย
ทำได้ยากเนื่องจากขณะใดขณะหนึ่งจะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อความออกมาบนสายสัญญาณ
ดังนั้นถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากๆ อาจทำให้เกิดการคับคั่งของเน็ตเวิร์ก
ซึ่งจะทำให้ระบบช้าลงได้
แบบ Ring การเชื่อมต่อแบบวงแหวน
เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จนครบวงจร
ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่ง
ไปสู่เครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ
ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้ ระบบ Ring มีการใช้งานบนเครื่องตระกูล IBM กันมาก เป็นเครื่องข่าย Token Ring ซึ่งจะใช้รับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องมินิหรือเมนเฟรมของ
IBM กับเครื่องลูกข่ายบนระบบ

การเชื่อมต่อแบบวงแหวน ถูกออกแบบให้ใช้ Media Access Units
(MAU) ต่อรวมกันแบบเรียงลำดับเป็นวงแหวน
แล้วจึงต่อ คอมพิวเตอร์ (PC) ที่เป็น Workstation หรือ Server เข้ากับ MAU ใน MAU 1 ตัวจะสามารถต่อออกไปได้ถึง 8 สถานี เมื่อสถานีถัดไปนั้นรับรู้ว่าต้องรับข้อมูล
แล้วมันจึงส่งข้อมูลกลับ เป็นการตอบรับ เมื่อสถานีที่จะส่งข้อมูลได้รัยสัญญาณตอบรับ
แล้วมันจึงส่งข้อมูลครั้งแรก แล้วมันจะลบข้อมูลออกจากระบบ
เพื่อให้ได้ใช้ข้อมูลอื่นๆ ต่อไป ดังนั้นทุกสถานีบน โทโปโลยี
วงแหวนจะได้ทำงานทั้งหมดซึ่งจะคอยเป็นผู้รับและผู้ส่งแล้วยังเป็นรีพีทเตอร์ในตัวอีกด้วย
ข้อมูลที่ผ่านไปแต่ละสถานี นั้น ข้อมูลที่เป็นตำแหน่งที่อยู่ตรงกับ สถานีใด
สถานีนั้นจะรับข้อมูลเก็บไว้ แต่มันจะไม่ลบข้อมูลออกจากระบบ
มันยังคงส่งข้อมูลต่อไป
ดังนั้นผู้ส่งข้อมูลครั้งแรกเท่านั้นที่จะเป็นผู้ลบข้อมูลออกจากระบบ
ครั้นเมื่อสถานีส่ง TOKEN มาถามสถานีถัดไปแล้วแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ
สถานีส่ง TOKEN จะทวนซ้ำข้อมูลเป็นครั้งที่สอง
ถ้ายังคงไม่ได้รับคำตอบ จึงส่งข้อมูลออกไปได้ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้
เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ไม่ให้ระบบหยุดชะงักการทำงานลงของระบบ
เนื่องจากสถานีหนึ่งเกิดการเสียหาย หรือชำรุด ระบบจึงยังคงสามารถทำงานต่อไปได้
ข้อดี
ใช้เคเบิลและเนื้อที่ในการติดตั้งน้อยคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเน็ตเวิร์กมีโอกาสที่จะส่งข้อมูลได้อย่างทัดเทียมกัน
ข้อเสีย
หากโหลดใดโหลดหนึ่งเกิดปัญหาขึ้นจะค้นหาได้ยากว่าต้นเหตุอยู่ที่ไหน
และวงแหวนจะขาดออก
แบบ Star(แบบดาว) การเชื่อมต่อแบบสตาร์นี้จะใช้อุปกรณ์ Hub เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ
โดยที่ทุกเครื่องจะต้องผ่าน Hub สายเคเบิ้ลที่ใช้ส่วนมากจะเป้น UTP และ Fiber Optic ในการส่งข้อมูล Hub จะเป็นเสมือนตัวทวนสัญญาณ (Repeater) ปัจจุบันมีการใช้ Switch เป็นอุปกรณ์ในการเชื่อมต่อซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่า
แบบ Starจะเป็นลักษณะของการต่อเครือข่ายที่ Work
station แต่ละตัวต่อรวมเข้าสู่ศูนย์กลางสวิตซ์
เพื่อสลับตำแหน่งของเส้นทางของข้อมูลใด ๆ ในระบบ ดังนั้นใน โทโปโลยี แบบดาว
คอมพิวเตอร์จะติดต่อกันได้ใน 1 ครั้ง
ต่อ 1 คู่สถานีเท่านั้น
เมื่อสถานีใดต้องการส่งข้องมูลมันจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางสวิทซ์ก่อน
เพื่อบอกให้ศูนย์กลาง
สวิตซ์มันสลับตำแหน่งของคู่สถานีไปยังสถานีที่ต้องการติดต่อด้วย ดังนั้นข้อมูลจึงไม่เกิดการชนกันเอง
ทำให้การสื่อสารได้รวดเร็วเมื่อสถานีใดสถานีหนึ่งเสีย ทั้งระบบจึงยังคงใช้งานได้
ในการค้นหาข้อบกพร่องจุดเสียต่างๆ จึงหาได้ง่ายตามไปด้วย
แต่ก็มีข้อเสียที่ว่าต้องใช้งบประมาณสูงในการติดตั้งครั้งแรก
ข้อดี
ติดตั้งและดูแลง่ายแม้ว่าสายที่เชื่อมต่อไปยังบางโหลดจะขาด
โหลดที่เหลืออยู่ก็ยังจะสามารถทำงานได้ ทำให้ระบบเน็ตเวิร์กยังคงสามารถทำงานได้เป็นปกติการมี Central
node อยู่ตรงกลางเป็นตัวเชื่อมระบบ
ถ้าระบบเกิดทำงานบกพร่องเสียหาย ทำให้เรารู้ได้ทันทีว่าจะไปแก้ปัญหาที่ใด
ข้อเสีย
เสียค่าใช้จ่ายมาก
ทั้งในด้านของเครื่องที่จะใช้เป็น central node และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสายเคเบิลในสถานีงานการขยายระบบให้ใหญ่ขึ้นทำได้ยาก
เพราะการขยายแต่ละครั้งจะต้องเกี่ยวเนื่องกับโหลดอื่นๆ ทั้งระบบ
เครื่องคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางมีราคาแพง
แบบ วงแหวน (Ring Network)
แบบ Hybrid เป็นการเชื่อมต่อที่ผสนผสานเครือข่ายย่อยๆ
หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน เช่น นำเอาเครือข่ายระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
เหมาะสำหรับบางหน่วยงานที่มีเครือข่ายเก่าและใหม่ให้สามารถทำงานร่วมกันได้
ซึ่งระบบ Hybrid Network นี้จะมีโครงสร้างแบบ
Hierarchical หรือ Tre
ที่มีลำดับชั้นในการทำงาน

เครือข่ายแบบไร้สาย
( Wireless LAN) อีกเครือข่ายที่ใช้เป็นระบบแลน
(LAN) ที่ไม่ได้ใช้สายเคเบิลในการเชื่อมต่อ
นั่นคือระบบเครือข่ายแบบไร้สาย ทำงานโดยอาศัยคลื่นวิทยุ ในการรับส่งข้อมูล
ซึ่งมีประโยชน์ในเรื่องของการไม่ต้องใช้สายเคเบิล
เหมาะกับการใช้งานที่ไม่สะดวกในการใช้สายเคเบิล
โดยไม่ต้องเจาะผนังหรือเพดานเพื่อวางสาย
เพราะคลื่นวิทยุมีคุณสมบัติในการทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางอย่าง กำแพง
หรือพนังห้องได้ดี แต่ก็ต้องอยู่ในระยะทำการ
หากเคลื่อนย้ายคอมพิวเตอร์ไปไกลจากรัศมีก็จะขาดการติดต่อได้
การใช้เครือข่ายแบบไร้สายนี้ สามารถใช้ได้กับคอมพิวเตอร์พีซี และโน๊ตบุ๊ก
และต้องใช้การ์ดแลนแบบไร้สายมาติดตั้ง รวมถึงอุปกรณ์ที่เรียกว่า Access
Point ซึ่งเป็นอุปกรณ์จ่ายสัญญาณสำหรับระบบเครือข่ายไร้สาย
มีหน้าที่รับส่งข้อมูลกับการ์ดแลนแบบไร้สาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น