การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายทำให้เกิดการสื่อสาร
และการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะ
หมายความรวมถึงการสื่อสาร และการแบ่งปันการใช้ข้อมูลระหว่างบุคคลด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้คืองานของระบบเครือข่าย นั่นเอง
รูปแบบการใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายแบ่งตามลักษณะการทำงาน
ได้เป็น 3 ประเภทคือ
1.ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง (Centrallized
Networks)
2.ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to-Peer
3. ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server
2.ระบบเครือข่ายแบบ Peer-to-Peer
3. ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server
1.ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง
เป็นระบบที่มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผล
ซึ่งจะตังอยู่ที่ศูนย์กลางและมีการเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอร์มินอลที่อยู่รอบๆ
โดยการเดินสายเคเบิลเชื่อมต่อกันโดยตรง เพื่อให้เครื่องเครื่องเทอร์มินอลสามารถเข้าใช้งาน
โดยส่งคำสั่งต่างๆ มาประมวลผลที่เครื่องกลาง
ซึ่งมักเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมประสิทธิภาพสูง
ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลางจะมีราคาสูง
และและไม่สามารถสนับสนุนระบบการประมวลผลแบบ Multiprocessor ได้ดีเท่ากับระบบเครือข่ายแบบ
Client/Server ปัจจุบันระบบนี้จึงมีความนิยมในการใช้งานลดน้อยลง

2.ระบบเครือข่าย Peer-to-Peer
แต่ละสถานีงานบนระบบเครือข่าย Peer-to-Peer จะมีความเท่าเทียมกันสามารถที่จะแบ่งปันทรัพยากรให้แก่กันและกันได้
เช่นการใช้เครื่องพิมพ์หรือแฟ้มข้อมูลร่วมกันในเครือข่าย ในขณะเดียวกันเครื่องแต่ละสถานีงานก็จะมีขีดความสามารถในการทำงานได้ด้วยตัวเอง
(Stand Alone) คือจะต้องมีทรัพยากรภายในของตัวเองเช่น
ดิสก์สำหรับเก็บข้อมูล หน่วยความจำที่เพียงพอ
และมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลได้
ข้อดีของระบบนี้คือ ความง่ายในการจัดตั้งระบบ มีราคาถูก และสะดวกต่อการบริหารจัดการ ซึ่งมักจะมอบเป็นภาระหน้าที่ของผู้ใช้ในแต่ละสถานีงานให้ รับผิดชอบในการดูแลพิจารณาการแบ่งปันทรัพยากรของตนเองให้กับสมาชิกผู้อื่นในกลุ่ม ดังนั้นระบบนี้จึงเหมาะสมสำหรับสำนักงานขนาดเล็ก ที่มีสถานีงานประมาณ 5-10 เครื่องที่วางอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ข้อด้อยของระบบนี้คือ เรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากไม่มีระบบการป้องกันในรูปแบบของ บัญชีผู้ใช้ และรหัสผ่าน ในการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ของระบบ
ข้อดีของระบบนี้คือ ความง่ายในการจัดตั้งระบบ มีราคาถูก และสะดวกต่อการบริหารจัดการ ซึ่งมักจะมอบเป็นภาระหน้าที่ของผู้ใช้ในแต่ละสถานีงานให้ รับผิดชอบในการดูแลพิจารณาการแบ่งปันทรัพยากรของตนเองให้กับสมาชิกผู้อื่นในกลุ่ม ดังนั้นระบบนี้จึงเหมาะสมสำหรับสำนักงานขนาดเล็ก ที่มีสถานีงานประมาณ 5-10 เครื่องที่วางอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ข้อด้อยของระบบนี้คือ เรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากไม่มีระบบการป้องกันในรูปแบบของ บัญชีผู้ใช้ และรหัสผ่าน ในการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ของระบบ

3.ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server
เป็นระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูง
และมีการใช้งานกันอย่างกว้างขวางมากกว่าระบบเครือข่ายแบบอื่นที่มีในปัจจุบัน ระบบ Client/Server
สามารถสนับสนุนให้มีเครื่องลูกข่ายได้เป็นจำนวนมาก
และสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลายแพลตฟอร์ม ระบบนี้จะทำงานโดยมีเครื่อง
Server ที่ให้บริการ เป็นศูนย์กลางอย่างน้อย 1 เครื่อง และมีการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ จากส่วนกลาง
ซึ่งคล้ายกับระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลางแต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ
เครื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการในระบบ Client/Server นี้จะเป็นเครื่องที่มีราคาไม่แพงมาก
ซึ่งอาจใช้เพียงเครื่อง
ไมโครคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงในการควบคุมการให้บริการทรัพยากรต่างๆ
นอกจากนี้เครื่องลูกข่ายยังจะต้องมีความสามารถในการประมวลผล
และมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลท้องถิ่นเป็นของตนเองอีกด้วย ระบบเครือข่ายแบบ Cleint/Server
เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง สนับสนุนการทำงานแบบ Multiprocessor
สามารถเพิ่มขยายขนาดของจำนวนผู้ใช้ได้ตามต้องการ
นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มจำนวนเครื่อง Servers สำหรับให้บริการต่างๆ
เพื่อช่วยกระจายภาระของระบบได้ ส่วนข้อเสียของระบบนี้ก็คือ
มีความยุ่งยากในการติดตั้งมากกว่าระบบ Peer-to-Peer รวมทั้งต้องการบุคลากรเพื่อการบริหารจัดการระบบโดยเฉพาะอีกด้วย
การแบ่งปันการใช้ทรัพยากรของระบบเครือข่าย
เมื่อกล่าวถึงทรัพยากรบนระบบเครือข่าย
ในที่นี้จะคลอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อำนวยประโยชน์กับผู้ใช้ในระบบ เช่น
แฟ้มข้อมูล ฐานข้อมูล รูปภาพและสไลด์สำหรับเสนอผลงาน ตลอดจนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่างๆ
ที่ติดตั้งอยู่บนระบบเครือข่าย ได้แก่ ฮาร์ดไดร์ฟที่มีการแชร์ไว้สำหรับให้บริการพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
หรือใช้เป็นที่เก็บข้อมูลชั่วคราวสำหรับการโยกย้ายแฟ้มข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
เครื่องพิมพ์บนระบบเครือข่าย เครื่องโทรสาร เป็นต้น นอกจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้
ทรัพยากรที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในสภาพการณ์ปัจจุบันนั่นก็คือ ข่าวสารข้อมูล
ซึ่งอาจเป็นการส่งข่าวสารระหว่างผู้ใช้ด้วยกันเอง
หรือการกระจายข่าวสารที่มีความสำคัญจากผู้บริหาร หรือฝ่าย สารสนเทศขององค์กร
สภาพแวดล้อมของระบบเครือข่ายที่เอื้ออำนวยต่อการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้งานในระบบนี้
นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่จะทำให้องค์กรประสพความสำเร็จในการประยุกต์ใช้งานระบบเครือข่ายได้อย่างเต็ม
ประสิทธิภาพ
การทำความเข้าใจขอบเขตของระบบในการวางแผนทรัพยากรองค์กร
จากนิยามนั้นเป็นเรื่องยาก
ดังนั้นการได้เห็นตัวอย่างการทำงานของระบบจะช่วยให้จับคู่การทำงานของระบบกับกระบวนการดำเนินธุรกิจของจริงได้ง่ายขึ้น
ในเรื่องนี้จะนำโปรแกรมการวางแผนทรัพยากรองค์กรหนึ่ง
ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งน่าจะช่วยให้เห็นภาพรวมของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร
โดยทั่วไปได้เป็นอย่างดี แต่นักศึกษาพึงศึกษาเพิ่มเติมจากโปรแกรมอื่นๆ ด้วย
เนื่องจาก
ซอฟต์แวร์การวางแผนทรัพยากรองค์กรของแต่ละตัวจะมีขอบเขตและชื่อเรียกระบบย่อยที่แตกต่างกัน
และมักจะมีจุดเด่นต่างกัน ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ในที่นี้แต่ละระบบงานหรือโมดูล (module) อาจจะไม่ตรงกับชื่อที่ปรากฏในโปรแกรมจริง
เนื่องจากผู้เขียนต้องการใช้เป็นชื่อกลางๆ
เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจหลักการทำงานทั่วไปมากกว่าการอิงอยู่กับชื่อที่เฉพาะเจาะจง
1. ระบบงานย่อยในการวางแผนทรัพยากรองค์กร
การวางแผนทรัพยากรองค์กรส่วนมากประกอบด้วยโมดูลที่ตอบสนองการทำงานของแต่ละหน่วยงานทางธุรกิจ
(business unit) ขององค์กรทางด้านธุรกิจ
ซึ่งเป็นส่วนที่เรียกว่า งานส่วนหลัง (back office) ทั้งส่วนที่เป็นธุรกิจซื้อมาขายไป
ธุรกิจบริการ หรืออุตสาหกรรมก็ตาม และมักจะมีโมดูลอื่นๆ เสริมเข้ามาเพื่อรองรับการใช้งานขององค์กร
เช่น ระบบพีโอเอส (POS) ระบบบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM)
ระบบการวางแผนวัตถุดิบ (MRP) ระบบควบคุมงบประมาณ
(BOQ) ธุรกิจอัจฉริยะ (BI) เว็บท่าหรือเว็บพอร์ทัล
(web portal) หรือโมดูลที่ขยายขอบเขตไปนอกสำนักงาน เช่น
การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ การจัดการโซ่อุปทาน เป็นต้น ตลอดจนแอพพลิเคชั่นบนมือถือ (mobile
application)
การวางแผนทรัพยากรองค์กรเป็นระบบงานขนาดใหญ่
ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ดังนั้น
การนำระบบอื่นมาเชื่อมโยงกับการวางแผนทรัพยากรองค์กรย่อมสามารถทำได้เสมอ
และข้อมูลทั้งหมดจะสามารถรวมกันบนมาตรฐานเดียวกันได้
ช่วยผู้บริหารจะสามารถควบคุมการทำงานและเรียกดูรายงานได้ตลอดเวลา
2. โมดูลต่างๆ ในระบบงานส่วนหลังของการวางแผนทรัพยากรองค์กร
จากการวางแผนทรัพยากรองค์กรที่ยกมาเป็นตัวอย่างนั้น
โมดูลต่างๆ ที่อาจพบได้ในระบบงานส่วนหลัง (back
office) เช่น ระบบจัดซื้อ (PO)
ระบบงานขาย (SO) ระบบควบคุมสินค้าคงคลัง (IC)
ระบบสินทรัพย์และการคำนวณค่าเสื่อม (FA) ระบบบัญชีทั่วไป
(GL) ระบบบัญชีเจ้าหนี้ (AP) ระบบบัญชีลูกหนี้
(AR) ระบบควบคุมเช็ค(CQ) ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
(MIS) ระบบควบคุมการผลิต (MRP) ระบบภาษี
(TAX) ระบบบริหารคลังสินค้า (WMS) ระบบวางแผนการปฏิบัติงานเพื่อการจัดจำหน่าย(S&OP)
และระบบบัญชีการเงิน (FI)
3. หน่วยงานตามความรับผิดชอบในระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร
การวางแผนทรัพยากรองค์กรเป็นระบบที่ใช้ในระดับที่ครอบคลุมทั้งองค์กร
(enterprise-wide)
สามารถรองรับโครงสร้างองค์กรทั้งองค์กรได้
เป็นระบบที่เป็นศูนย์กลางของทุกระบบงานและทุกส่วนงานหรือโมดูล (modules) ต่างๆ ในระบบงานส่วนหลัง (back office) จึงสะท้อนโครงสร้างองค์กร
เพื่อรองรับการดำเนินการและใช้ในการประเมินผลงานตามความรับผิดชอบ (performance
base) ตามสายบังคับบัญชา ระบบงานส่วนหลังของการวางแผนทรัพยากรองค์กร
จะสามารถกำหนดหน่วยงานตามความรับผิดชอบ (responsibility center) หรือหน่วยธุรกิจ (business unit) ให้เหมาะสมกับกิจการต่างๆ
ได้ การวางแผนทรัพยากรองค์กรบางระบบสามารถรองรับองค์กรที่เป็นในรูปของกลุ่มบริษัท
รองรับการบริหารงานแบบหลายมิติ (multi-dimensional) ได้
ช่วยให้การประเมินผลงานเป็นไปได้อย่างละเอียด ช่วยให้การจัดสรรทรัพยากร
และการจัดสรรต้นทุน เป็นไปอย่างละเอียดและตรงตามความรับผิดชอบ
และช่วยให้ประเมินไปถึงลูกค้าหรือคู่ค้าได้
สามารถเปรียบเทียบต้นทุนและผลกำไรแยกตามรายสินค้าได้เป็นอย่างดี
ช่วยให้ผู้บริหารนำไปใช้ในการวางกลยุทธ์ขององค์กรทั้งในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น