ระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
1. ฮาร์ดแวร์
ฮาร์ดแวร์เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบสารสนเทศ หมายถึง
เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์รอบข้าง
รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสำหรับเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่าย เช่น
เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกนเนอร์เมื่อพิจารณาเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็น 3 หน่วย คือ
- หน่วยรับข้อมูล (input unit) ได้แก่ แผงแป้นอักขระ เมาส์
-หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU)
- หน่วยแสดงผล (output unit) ได้แก่ จอภาพ เครื่องพิมพ์
2. ซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการที่สอง
ซึ่งก็คือลำดับขั้นตอนของคำสั่งที่จะสั่งงานให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน
เพื่อประมวลผลข้อมูลให้ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการของการใช้งาน
ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติงาน ซอฟต์แวร์ควบคุมระบบงาน ซอฟต์แวร์สำเร็จ
และซอฟต์แวร์ประยุกต์สำหรับงานต่างๆ ลักษณะการใช้งานของซอฟต์แวร์ก่อนหน้านี้
ผู้ใช้จะต้องติดต่อใช้งานโดยใช้ข้อความเป็นหลัก
แต่ในปัจจุบันซอฟต์แวร์มีลักษณะการใช้งานที่ง่ายขึ้น
โดยมีรูปแบบการติดต่อที่สื่อความหมายให้เข้าใจง่าย เช่น มีส่วนประสานกราฟิกกับผู้ใช้ที่เรียกว่า
กุย (Graphical User Interface : GUI) ส่วนซอฟต์แวร์สำเร็จที่มีใช้ในท้องตลาดทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับบุคคลเป็นไปอย่างกว้างขวาง
และเริ่มมีลักษณะส่งเสริมการทำงานของกลุ่มมากขึ้น
ส่วนงานในระดับองค์กรส่วนใหญ่มักจะมีการพัฒนาระบบตามความต้องการโดยการว่าจ้าง
หรือโดยนักคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในฝ่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กร เป็นต้น
ซอฟต์แวร์ คือ
ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์ แบ่งออกได้หลายประเภท เช่น
1. ซอฟต์แวร์ระบบ คือ
ซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดการกับระบบคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส ระบบปฏิบัติการดอส
ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ คือ
ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานด้านต่างๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น ซอฟต์แวร์กราฟิก ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน ซอฟต์แวร์นำเสนอข้อมูล
3. ข้อมูล
ข้อมูล เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของระบบสารสนเทศ
อาจจะเป็นตัวชี้ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของระบบได้
เนื่องจากจะต้องมีการเก็บข้อมูลจากแหล่งกำเนิด ข้อมูลจะต้องมีความถูกต้อง
มีการกลั่นกรองและตรวจสอบแล้วเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์ ข้อมูลจำเป็นจะต้องมีมาตรฐาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานในระดับกลุ่มหรือระดับองค์กร
ข้อมูลต้องมีโครงสร้างในการจัดเก็บที่เป็นระบบระเบียบเพื่อการสืบค้นที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ
4. บุคลากร
บุคลากรในระดับผู้ใช้ ผู้บริหาร ผู้พัฒนาระบบ นักวิเคราะห์ระบบ
และนักเขียนโปรแกรม เป็นองค์ประกอบสำคัญในความสำเร็จของระบบสารสนเทศ
บุคลากรมีความรู้ความสามารถทางคอมพิวเตอร์มากเท่าใดโอกาสที่จะใช้งานระบบสารสนเทศและระบบคอมพิวเตอร์ได้เต็มศักยภาพและคุ้มค่ายิ่งมากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะระบบสารสนเทศในระดับบุคคลซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถมากขึ้น
ทำให้ผู้ใช้มีโอกาสพัฒนาความสามารถของตนเองและพัฒนาระบบงานได้เองตามความต้องการ
สำหรับระบบสารสนเทศในระดับกลุ่มและองค์กรที่มีความซับซ้อนจะต้องใช้บุคลากรในสาขาคอมพิวเตอร์โดยตรงมาพัฒนาและดูแลระบบงาน
5. ขั้นตอนการปฏิบัติงาน
ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจนของผู้ใช้หรือของบุคลากรที่เกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง
เมื่อได้พัฒนาระบบงานแล้วจำเป็นต้องปฏิบัติงานตามลำดับขั้นตอนในขณะที่ใช้งานก็จำเป็นต้องคำนึงถึงลำดับขั้นตอนการปฏิบัติของคนและความสัมพันธ์กับเครื่อง
ทั้งในกรณีปกติและกรณีฉุกเฉิน เช่น ขั้นตอนการบันทึกข้อมูล ขั้นตอนการประมวลผล
ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเครื่องชำรุดหรือข้อมูลสูญหาย
และขั้นตอนการทำสำเนาข้อมูลสำรองเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะต้องมีการซักซ้อม มีการเตรียมการ
และการทำเอกสารคู่มือการใช้งานที่ชัดเจน
หน้าที่หน่วยประมวลผลกลาง
และส่วนประกอบของหน่วยประมวลผลกลาง
องค์ประกอบของ CPU
วงจรในหน่วยประมวลผลกลางเรียกว่า
“ไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessor)” ซึ่งเป็นชิปที่ทำจากซิลิกอน
ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 หน่วย ดังนี้
1. หน่วยควบคุม (Control Unit)
หน่วยควบคุม
ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการการประมวลผล และการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ
ภายในหน่วยประมวลผลกลาง
และรวมไปถึงการประสานงานในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยประมวลผลกลาง
กับอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล อุปกรณ์แสดงผล และหน่วยความจำสำรองด้วย เมื่อผู้ใช้ต้องการประมวลผล
ตามชุดคำสั่งใด ผู้ใช้จะต้องส่งข้อมูลและชุดคำสั่งนั้นๆ
เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เสียก่อน โดยข้อมูลและชุดคำสั่งดังกล่าว
จะถูกนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก
จากนั้นหน่วยควบคุมจะดึงคำสั่งจากชุดคำสั่งที่มีอยู่ในหน่วยความจำหลักออกมาทีละคำสั่งเพื่อทำการแปล
ความหมายว่าคำสั่งดังกล่าวสั่งให้ฮาร์ดแวร์ส่วนใด ทำงานอะไรกับข้อมูลตัวใด
เมื่อทราบความหมายของคำสั่งนั้นแล้ว หน่วยควบคุมก็จะส่งสัญญาณคำสั่งไปยังฮาร์ดแวร์
ส่วนที่ทำหน้าที่ในการประมวลผลดังกล่าว ให้ทำตามคำสั่งนั้นๆ เช่น
ถ้าคำสั่งที่เข้ามานั้นเป็นคำสั่งเกี่ยวกับการคำนวณ หน่วยควบคุมจะส่งสัญญาณ
คำสั่งไปยังหน่วยคำนวณและตรรกะ ให้ทำงาน หน่วยคำนวณและตรรกะ
ก็จะไปทำการดึงข้อมูลจากหน่วยความจำหลักเข้ามาประมวลผลตามคำสั่ง
แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ไปแสดงยังอุปกรณ์แสดงผล หน่วยควบคุมจึงจะส่งสัญญาณคำสั่งไปยัง
อุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ ที่กำหนดให้ดึงข้อมูลจากหน่วยความจำหลัก
ออกไปแสดงให้เห็นผลลัพธ์ดังกล่าว อีกต่อหนึ่ง เปรียบเสมือนสมองที่ควบคุม
การทำงานส่วนประกอบต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ เช่น แปลคำสั่งที่ป้อน
ควบคุมให้หน่วยรับข้อมูลรับข้อมูลเข้ามาเพื่อทำการประมวลผล
ตัดสินใจว่าจะให้เก็บข้อมูลไว้ที่ไหน ถูกต้องหรือไม่ ควบคุมให้ ALU ทำการคำนวณข้อมูลที่รับเข้ามา ตลอดจนควบคุมการแสดงผลลัพธ์ เป็นต้น
โดยพื้นฐานทั่วไป ส่วนควบคุมจะทำงานเป็น 2 จังหวะ คือ
1. รับคำสั่ง
ในจังหวะแรกนี้
ชุดคำสั่งจะถูกดึงจากส่วนความจำเข้าสู่ส่วนควบคุมแล้วแยกออกเป็นสองส่วน คือ
ส่วนที่เป็นรหัสคำสั่ง จะแยกไปยังส่วนที่มีชื่อเรียกว่า วงจรสร้างสัญญาณ
(decoder) เพื่อเตรียมทำงานในจังหวะที่สอง
และส่วนที่เป็นออเพอแรนด์ จะแยกออกไปยังวงจรอีกส่วนหนึ่ง
เพื่อปฏิบัติให้เสร็จสิ้นในจังหวะแรก แล้วเตรียมพร้อมที่จะทำงานในจังหวะต่อไปเมื่อได้รับสัญญาณควบคุมส่งมาบังคับ
2. ปฏิบัติ
เมื่อจังหวะแรกได้เสร็จสิ้นไปแล้ว
วงจรควบคุมจะสร้างสัญญาณขึ้นเพื่อส่งไปควบคุมส่วนต่างๆ
ของเครื่องคอมพิวเตอร์ตามรหัสคำสั่งที่ได้รับมา เช่น การบวก ลบ คูณ หาร หรือย้ายข้อมูล
เครื่องคอมพิวเตอร์หลายแบบใช้วงจรควบคุม
ที่เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยติดไว้ในเครื่อง
เครื่องคำนวณจะเก็บสัญญาณควบคุมเหล่านี้ไว้ในส่วนความจำพิเศษที่เรียกว่า “รอม (ROM)”
2. หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic
& Logical Unit : ALU)
หน่วยคำนวณตรรกะ
ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องคำนวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยทำงานเกี่ยวข้องกับ
การคำนวณทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic operations) เช่น บวก ลบ
คูณ หาร นอกจากนี้หน่วยคำนวณและตรรกะของคอมพิวเตอร์
ยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่เครื่องคำนวณธรรมดาไม่มี คือ
ความสามารถในเชิงตรรกะศาสตร์ (Logical
operations) หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบตามเงื่อนไข
และกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ได้คำตอบออกมาว่าเงื่อนไขนั้นเป็นจริง หรือ เท็จ
เช่น เปรียบเทียบมากว่า น้อยกว่า เท่ากัน ไม่เท่ากัน ของจำนวน 2 จำนวน เป็นต้น
ซึ่งการเปรียบเทียบนี้มักจะใช้ในการเลือกทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์จะทำตามคำสั่งใดของโปรแกรมเป็นคำสั่งต่อไป
โดยอาศัยตัวปฏิบัติการพื้นฐาน 3 ค่า คือ
· เงื่อนไขเท่ากับ
(= , Equal to condition)
· เงื่อนไขน้อยกว่า
(< , Less than condition)
· เงื่อนไขมากกว่า
(> , Greater than condition)
สำหรับตัวปฏิบัติการทางตรรกะ
สามารถนำมาผสมกันได้ทั้งหมด 6 รูปแบบ คือ
· เงื่อนไขเท่ากับ
(= , Equal to condition)
· เงื่อนไขน้อยกว่า
(< , Less than condition)
· เงื่อนไขมากกว่า
(> , Greater than condition)
· เงื่อนไขน้อยกว่าหรือเท่ากับ
(<= , Less than or equal condition)
· เงื่อนไขมากกว่าหรือเท่ากับ
(>= , Greater than or equal condition)
· เงื่อนไขน้อยกว่าหรือมากกว่า
(< > , Less than or greater than condition) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่มีค่า
คือ “ไม่เท่ากับ (not equal to)” นั่นเอง
อีกทั้งยังแบ่งเป็นวงจรได้
5 ชนิด คือ
1. วงจรตรรกะจัดหมู่ (combination
logic) เป็นวงจรที่ให้สัญญาณผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาวะของสัญญาณที่ป้อนเข้าเท่านั้น
วงจรนี้จึงไม่สามารถเก็บสัญญาณไว้ได้
2. วงจรตรรกะจัดลำดับ (sequential
logic) เป็นวงจรที่มีสัญญาณผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสัญญาณป้อนเข้า
และขึ้นอยู่กับสภาวะเดิมของสัญญาณผลลัพธ์ วงจรนี้มีคุณสมบัติที่สามารถเก็บสัญญาณ
หรือความจำไว้ได้ แต่เมื่อเลิกทำงานไฟฟ้าที่ไปเลี้ยงวงจรเหล่านี้
สัญญาณหรือความจำจะสูญหายไป เช่น วงจรฟลิปฟล็อป (flip-flop)
วงจรนับ (counter) วงจรชิฟต์รีจิสเตอร์ (shiftregister)
3. วงจรบวก คือ วงจรที่ทำหน้าที่บวกเลขฐานสอง
โดยอาศัยวงงจรตรรกะเข้ามาประกอบเป็นวงจรบวกครึ่ง (half
adder ; H.A.) ซึ่งจะให้ผลบวก S และการทดออก Co เมื่อนำเอาวงจรบวกครึ่งสองวงจรกับเกตหนึ่งวงจรมารวมกันเป็นวงจรบวกเต็ม
โดยมีการทดเข้า ทดออก และผลบวก
4. วงจรลบ คือ วงจรที่ทำหน้าที่คล้ายวงจรบวก
โดยใช้วงจรอินเวอร์เทอร์เข้าเปลี่ยนเลขตัวลบให้เป็นตัวประสม 1 (1's complement) คือเปลี่ยนเลข “0” เป็น “1” หรือ “0” เป็น “0” แล้วนำเข้าบวกกับตัวตั้งจึงจะได้ผลลบตามต้องการ
5. วงจรคูณและหาร การคูณสามารถทำได้ด้วยการบวกซ้ำๆ กัน
และการหารสามารถทำได้ด้วยการลบซ้ำๆ กัน ดังนั้น การคูณ คือ
การจัดให้วงจรบวกทำการบวกซ้ำๆ กัน ส่วนการหารก็คือ การจัดให้วงจรลบทำการลบซ้ำ
นอกจากหลักการดังกล่าวแล้ว อาจจะใช้อีกหลักการหนึ่ง คือ การคูณหารบางประเภทสามารถทำได้โดยการเลื่อนจุดไปทางซ้ายหรือขวา
เช่น 256.741 X 100 = 25674.1 หรือ 256.741 / 100 =
2.56741 เป็นต้น ส่วนเลขฐานสองที่คอมพิวเตอร์ใช้ก็ทำได้ในทำนองเดียวกัน
3. หน่วยความจำหลัก (Main Memory)
คอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานได้เมื่อมีข้อมูล
และชุดคำสั่งที่ใช้ในการประมวลผลอยู่ในหน่วยความจำหลักเรียบร้อยแล้วเท่านั้น
และหลังจากทำการประมวลผลข้อมูลตามชุดคำสั่งเรียบร้อยแล้ว
ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำไปเก็บไว้ที่หน่วยความจำหลัก
และก่อนจะถูกนำออกไปแสดงที่อุปกรณ์แสดงผล สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
· หน่วยความจำสำหรับเก็บคำสั่ง
(Program Memory)
· หน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูลและคำสั่ง
(Data & Programming Memory)
การทำงานขององค์ประกอบของ
CPU
หน้าที่ของหน่วยความจำหลัก
และประเภทหน่วยความจำหลัก
หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์
หน่วยความจำ (memory) เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์
ทำหน้าที่มีเป็นตัวพักข้อมูลที่ได้รับจากผู้ใช้
เพื่อส่งต่อไปยังหน่วยประมวลผลกลางอีกทีหนึ่ง
ในระบบคอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำอยู่หลายส่วน
หน่วยความจำที่มีอยู่ภายในตัวซีพียูก็คือรีจีสเตอร์ แต่เนื่องจากในซีพียูมีรีจีสเตอร์อยู่จำกัดจึงจำเป็นต้องต่อหน่วยความจำเพิ่มภายนอก
หากแบ่งรูปของหน่วยความจำของระบบคอมพิวเตอร์จะแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ
หน่วยความจำหลักและหน่วยความจำสำรอง
โดยหน่วยความจำหลักเป็นหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ที่ใช้เก็บข้อมูลและคำสั่งที่ต้องการประมวลผลในงานนั้นๆ
ส่วนหน่วยความจำสำรองคอมพิวเตอร์จะเก็บข้อมูลและโปรแกรมที่อาจมีการใช้ในอนาคต
หากคอมพิวเตอร์ต้องการทำงานโปรแกรมใดๆ
จะต้องนำโปรแกรมออกจากหน่วยความจำสำรองขึ้นมาเก็บในหน่วยความจำหลักเสมอ อย่าเช่น
ในฮาร์ดดิสก์มีข้อมูลและโปรแกรมอยู่มากมาย
หากคอมพิวเตอร์ต้องทำโปรแกรมใดก็จะต้องนำโปรแกรมจากฮาร์ดดิสก์ขึ้นมาเก็บในแรม(RAM) ซึ่งเป็นหน่วยความจำหลักนั่นเอง
หน่วยความจำหลัก
หน่วยความจำหลักเป็นหน่วยความจำที่ทำงานใกล้ชิดกับซีพียูโดยตรง
ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและโปรแกรมที่ซีพียูกำลังประมวลผลอยู่ในขณะนั้น
ถ้าหากต้องการให้
คอมพิวเตอร์ทำโปรแกรมใดจะต้องนำโปรแกรมมาเก็บไว้ในหน่วยความจำหลักนี้
หน่วยความจำหลักแบ่งเป็น2ประเภทใหญ่ๆ คือ รอม(ROW)และแรม(RAW)
-รอม (Read only Memory:ROW) เป็นหน่วยความจำที่เก็บข้อมูลแบบถาวร(เปลี่ยนแปลงไม่ได้)
ข้อมูลจะคงอยู่ตลอดไปแม้ในช่วงที่ปิดเครื่องไม่มีกระแสไฟฟ้ามาเลี้ยง
ในเครื่องคอมพิวเตอร์จะใช้น่วยความจำนี้เป็นโปรแกรมที่ควบคุมการทำงานของเครื่อง
ที่เรียกว่า รอมไบออส (Basic Input/Output System: BIOS)
-แรม (Random Access Memory: RAM) โดยทั่วไปหากกล่าวถึงหน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์มักจะนึกถึงหน่วยความจำประเภทแรมนี้
หน่วยความจำชนิดนี้เป็นหน่วยความจำที่ทำงานร่วมกับซีพียู ใช้พักข้อมูลชั่วคราว
แต่ข้อมูลจะหายเมื่อมีการปิดเครื่อง
หน่วยความจำรอง
หน่วยความจำรองใช้สำหรับเก็บคำสั่งและข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ยังไม่ใช้ในทันทีทันใด
แต่ต้องการใช้ในอนาคต
หน่อยความจำสำรองมีอยู่หลายชนิดขึ้นกับเทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล
บางประเภทเก็บข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีแบบแม่เหล็ก
บางประเภทเก็บข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีทางแสง ตัวอย่างของหน่วยความจำรองเช่น
ฮาร์ดิสก์ (harddisk) แผ่น (CD) แผ่นดีวีดี (DVD), หน่วยความจำแบบยูเอสบีแฟสช
เป็นต้น
หน่วยความจำรองจะเก็บข้อมูลได้มาก
โดยทั่วไปแล้วขนาดความจุของหน่วยความจำรองจะมากกว่าหน่วยความจำหลัก
แผ่นดิสก์ซึ่งเป็นหน่วยความจำสำรองประเภทหนึ่งมีความจุเพียง 1.44 MB แต่หน่วยความจำยุคใหม่ๆ จะเก็บข้อมูลได้มากขึ้น
หน่วยที่ใช้วัดความจุข้อมูลแสดงได้ดังตารางต่อไปนี้
|
หน้าที่ของหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง และประเภทของหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง
หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage Device)
หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง ( Secondary
Storage Device ) การทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์นั้น
เมื่อต้องการเก็บบันทึกข้อมูล หรือกลุ่มคำสั่งต่าง ๆ
ไว้ใช้ในอนาคตจะไม่สามารถเก็บไว้ในหน่วยความจำหลักได้
เนื่องจากไม่มีพื้นที่เพียงพอ อีกทั้งข้อมูลที่เก็บจะหายไปเมื่อปิดเครื่อง
หากต้องการเก็บข้อมูลที่มากขึ้นและเอาไว้ใช้ประโยชน์ในภายหลัง
ก็จำเป็นต้องหาอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง
หรือที่เรียกว่า secondary storage
ปัจจุบันมีสื่อที่ผลิตมาสำหรับใช้เก็บข้อมูลสำรองหลากหลายชนิด ซึ่งพอจะแบ่งตามรูปแบบของสื่อที่เก็บข้อมูลออกได้เป็น
4 ประเภท
1. สื่อเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก ( Magnetic
Disk device )
เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลประเภทที่ใช้งานเป็นลักษณะของจานบันทึก ( disk ) ซึ่งมีหลายประเภท ดังนี้
1.1 ฟล็อปปี้ดิสก์
( Floppy disks ) สื่อเก็บบันทึกข้อมูลที่ได้รับความนิยมและใช้งานอย่างแพร่หลาย
สามารถหาซื้อใช้ได้ตามร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วไป นิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
ดิสเก็ตต์ ( diskette ) หรือแผ่นดิสก์
การเก็บข้อมูลจะมีจานบันทึก
ซึ่งเป็นวัสดุอ่อนจำพวกพลาสติกที่เคลือบสารแม่เหล็กอยู่ด้านใน
และห่อหุ้มด้วยกรอบพลาสติกแข็งอีกชั้นหนึ่ง
แผ่นดิสก์ในอดีตจะมีขนาดจานบันทึกที่ใหญ่มากถึง 5.25 นิ้ว
ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมและเลิกใช้งานแล้ว จะเห็นได้เฉพาะขนาด 3.5 นิ้วแทน ซึ่งมีขนาดเล็กและพกพาสะดวกกว่า
โครงสร้างการทำงานของแผ่นดิสก์จะต้องมีการจัดข้อมูลโดยการ ฟอร์แมต ( format
) เมื่อใช้ครั้งแรกก่อนทุกครั้ง
(ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตมักจะมีการฟอร์แมตแผ่นมาตั้งแต่อยู่ในกระบวนการผลิตแล้ว
(ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทำการฟอร์แมตก่อนใช้งานซ้ำอีก)
การฟอร์แมตเป็นกระบวนการจัดพื้นที่เก็บไฟล์ข้อมูลก่อนใช้งาน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ
เป็นการเตรียมพื้นที่สำหรับเก็บบันทึกข้อมูลนั่นเอง
โครงสร้างของแผ่นจานแม่เหล็กเมื่อทำการฟอร์แมตแล้วจะมีลักษณะดังนี้
โครงสร้างของดิสก์เมื่อทำการฟอร์แมตแล้ว
แทรค ( Track ) เป็นการแบ่งพื้นที่เก็บข้อมูลออกเป็นส่วนตามแนววงกลมรอบแผ่นจานแม่เหล็ก
จะมีมากหรือน้อยวงก็ขึ้นอยู่กับชนิดและประเภทของจานแม่เหล็กนั้น
ซึ่งแผ่นแต่ละชนิดจะมีความหนาแน่นของสารแม่เหล็กแตกต่างกันทำให้ปริมาณความจุข้อมูลที่จะจัดเก็บต่างกันตามไปด้วย
เซกเตอร์ ( Sector ) เป็นการแบ่งแทรคออกเป็นส่วน ๆ สำหรับเก็บข้อมูล
ซึ่งแต่ละเซกเตอร์สามารถเก็บข้อมูลได้มากถึง 512 ไบต์
หากเปรียบเทียบแผ่นจานแม่เหล็กเป็นคอนโดมิเนียมหลังหนึ่งแล้ว
เซกเตอร์ก็เปรียบได้เหมือนกับห้องพักต่าง ๆ ที่แบ่งให้คนอยู่กันเป็นห้อง ๆ นั่นเอง
แผ่นดิสเก็ตต์ที่พบทั่วไปในปัจจุบันจะเป็นแบบความจุสูงหรือ high density สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1.44 MB ซึ่งเราอาจคำนวณหาความจุข้อมูลของแผ่นดิสก์ได้โดยการเอาจำนวนด้านของแผ่นจานแม่เหล็ก
( side ) จำนวนของแทรค
(track) จำนวนของเซคเตอร์ในแต่ละแทรค
(sector/track) และความจุข้อมูลต่อ 1 เซกเตอร์ ( byte/sector ) ว่ามีค่าเป็นเท่าไหร่
แล้วเอาตัวเลขทั้งหมดมาคูณกันก็จะได้ปริมาณความจุข้อมูลในแผ่นชนิดนั้น ๆ
เมื่อเก็บหรือบันทึกข้อมูลแล้วสามารถที่จะป้องกันการเขียนทับใหม่
หรือป้องกันการลบข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น โดยเลือกใช้ปุ่มเปิด –
ปิดการบันทึกที่อยู่ข้าง ๆ แผ่นได้ ซึ่งหากเลื่อนขึ้น (เปิดช่องทะลุ)
จะหมายถึงการป้องกัน
( write-protected ) แต่หากเลื่อนปุ่มลงจะหมายถึง
ไม่ต้องป้องกันการเขียนทับข้อมูล ( not
write-protected ) นั่นเอง
1.2 ฮาร์ดดิสก์ ( Hard disks ) เป็นอุปกรณ์เก็บบันทึกข้อมูลที่มีโครงสร้างคล้ายกับดิสเก็ตต์
แต่จุข้อมูลมากกว่าและมีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลสูงกว่า
ส่วนใหญ่จะถูกติดตั้งอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้สำหรับเก็บตัวโปรแกรมระบบปฏิบัติการ
( operating
system ) รวมถึงโปรแกรมประยุกต์อื่น
ๆ ฮาร์ดดิสก์ผลิตมาจากวัสดุแบบแข็งจำนวนหลายแผ่นวางเรียงต่อกันเป็นชั้น จานแม่เหล็กแต่ละจาน
เรียกว่า แพลตเตอร์ ( platter ) ซึ่งอาจจะมีจำนวนต่างกันได้ในฮาร์ดดิสก์แต่ละรุ่น

2. สื่อเก็บข้อมูลแสง ( Optical Storage
Device )
เป็นสื่อเก็บข้อมูลสำรองที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
ซึ่งใช้หลักการทำงานของแสงเข้ามาช่วย การจัดเก็บข้อมูลจะคล้ายกับแผ่นจานแม่เหล็ก
แต่ต่างกันที่การแบ่งวงของแทรคจะแบ่งเป็นลักษณะคล้ายรูปก้นหอยและเริ่มเก็บบันทึกข้อมูลจากส่วนด้านในออกมาด้านนอก
และแบ่งส่วนย่อยของแทรคออกเป็นเซกเตอร์เช่นเดียวกันกับแผ่นจานแม่เหล็ก
2.1 CD (Compact Disc) เป็นสื่อเก็บข้อมูลด้วยแสงแบบแรกที่ไดรับความนิยมอย่างแพร่หลายและปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมอยู่
เนื่องจากมีราคาถูกลงกว่าสมัยก่อนมาก ซึ่งแยกออกได้ดังนี้
CD-ROM (Compact disc read only memory) เป็นสื่อเก็บบันทึกข้อมูลที่นิยมใช้สำหรับการเก็บบันทึกข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
เช่น
ระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมประยุกต์เพื่อใช้สำหรับติดตั้งในคอมพิวเตอร์รวมถึงเก็บผลงานไฟล์มัลติมีเดีย
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( CAI – computer
assisted instruction ) หรือ CD-Training ผู้ใช้สามารถอ่านข้อมูลได้อย่างเดียวแต่ไม่สามารถเขียนหรือบันทึกข้อมูลซ้ำได้
สามารถจุข้อมูลได้ถึง 650-750 MB โดยมากแล้วจะเป็นแผ่นที่ปั๊มมาจากโรงงานหรือบริษัทผู้ผลิตมาแล้ว
CD-R (Compact disc recordable) พบเห็นได้ตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วไป
มีราคาถูกลงอย่างมาก แผ่นแบบนี้สามารถใช้ไดรซ์เขียนแผ่น ( CD Write ) บันทึกข้อมูลได้และหากเขียนข้อมูลลงไปแล้วยังไม่เต็มแผ่นก็สามารถเขียนเพิ่มเติมได้
แต่ไม่สามารถลบข้อมูลที่เขียนไว้แล้วได้
เนื่องจากเนื้อที่บนแผ่นแต่ละจุดจะเขียนข้อมูลได้ครั้งเดียว
เขียนแล้วเขียนเลยจะลบทิ้งอีกไม่ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบันทึกไฟล์ข้อมูลเพื่อเก็บรักษาทั่วไป
เช่น ภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอล เพลง mp3
หรือไฟล์งานข้อมูลซึ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว
CD-RW (Compact disc rewritable) แผ่นชนิดนี้มีลักษณะหน้าตาเหมือนกับแผ่น
CD-R ทุกประการแต่มีข้อดีกว่าคือ นอกจากเขียนบันทึกข้อมูลได้หลายครั้งแล้ว
ยังสามารถลบข้อมูลและเขียนซ้ำใหม่ได้เรื่อย ๆ
เหมือนกับการบันทึกและเขียนซ้ำของดิสเก็ตต์ อย่างไรก็ตามแผ่น CD-RW ขณะนี้ยังมีราคาสูงกว่า CD-R อยู่พอสมควร
จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบันทึกข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยและเก็บข้อมูลไว้ในระยะเวลาอันสั้น
ไม่ถาวร ซึ่งจะช่วยทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก
เพราะสามารถลบทิ้งแล้วเขียนใหม่อีกได้ถึงกว่าพันครั้ง
2.2
DVD
(Digital Versatile Disc/Digital Video Disc) ผลิตมาเพื่อตอบสนองกับงานเก็บข้อมูลความจุสูง เช่น เพลงหรืองานมัลติมีเดียเพื่อให้เกิดความสมจริงและคมชัดมากที่สุด
การเก็บข้อมูลจะมีการแบ่งออกเป็นชั้น ๆ เรียกว่า เลเยอร์ (Layer
) และสามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งสองด้าน
(sides
) ความจุของ
DVD จะมีมากกว่า CD หลายเท่าตัว โดยมีตั้งแต่ 4.7 GB - 17 GB
การใช้งาน DVD มีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นและคาดว่าจะเข้ามาแทน CD ในอนาคต เนื่องจากราคาของ DVD มีราคาถูกลงอย่างมาก
ซึ่งในปัจจุบันมีการนำแผ่น DVD มาประยุกต์ใช้กันอย่างแพร่หลายและมีมาตรฐานที่ค่อนข้างแตกต่างกันไม่เหมือนกับแผ่น
CD ซึ่งพอจะแยกออกได้ดังนี้
-DVD-ROM เป็นแผ่น DVD ที่ผลิตจากบริษัทหรือโรงงานโดยตรง มักใช้สำหรับเก็บข้อมูลขนาดใหญ่มาก
เช่น ภาพยนตร์ความคมชัดสูงและต้องการเสียงที่สมจริง
รวมถึงการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ที่ CD-ROM ทั่วไปไม่สามารถจัดเก็บหรือบันทึกได้
-DVD-R และ DVD-RW เป็นแผ่น DVD ประเภทเขียนข้อมูลได้ตามมาตรฐานขององค์กร
DVD Forum (www.dvdforum.org) มีความจุข้อมูลสูงสุดขณะนี้ 4.7 GB เท่านั้น การเขียนข้อมูลสำหรับ DVD-R สามารถเขียนและบันทึกข้อมูลได้เพียงครั้งเดียวเหมือนกับการเขียนแผ่น
CD-R ส่วน DVD-RW จะเขียนและบันทึกข้อมูลซ้ำหลาย
ๆ ครั้ง
วิธีการเขียนข้อมูลอาจเติมเฉพาะข้อมูลใหม่ลงไปโดยลบอันเก่าทิ้งทั้งแผ่นหรือจะ import ข้อมูลอันเก่ามารวมกับของใหม่แล้วเขียนไปพร้อม ๆ
กันก็ได้
-DVD+R และ DVD+RW เป็นกลุ่มของ DVD ที่เขียนข้อมูลได้เช่นเดียวกันแต่เป็นมาตรฐานขององค์กร
DVD+RW Alliance (www.dvdrw.com) ซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง
มีความจุสูงสุดคือ 4.7 GB และอาจเพิ่มอีกในอนาคต
การเขียนข้อมูลของ DVD+R และ DVD+RW จะคล้าย ๆ
กันกับกลุ่มมาตรฐานเดิมแต่ความเร็วในการเขียนแผ่นจะมีมากกว่า
ไดรว์เขียนแผ่น DVD ปัจจุบันมักเขียนได้ทั้งแบบ
+RW และ – RW เรียกกันว่าแบบ
Dual format นอกจากนี้ยังมีไดรว์และแผ่นรุ่นใหม่ที่บันทึกข้อมูลได้มากถึงเกือบสองเท่าของแบบธรรมดา
คือจุได้ 8.5 GB (เทียบเท่า DVD-9 ) โดยบันทึกข้อมูลสองชั้นซ้อนกันในด้านเดียว
เรียกว่าแผ่นและไดรว์แบบ Double Layer ( บางทีก็เรียก Dual Layer)
3. สื่อเก็บข้อมูลอื่น ๆ ( Other Storage
Device )
อุปกรณ์หน่วนความจำแบบแฟรช
( Flash memory device ) ปัจจุบันนำมาใช้บันทึกแทนสื่อเก็บข้อมูลแบบดิสเก็ตต์มากขึ้น
เพราะจุข้อมูลได้มากกว่า นิยมใช้กับเครื่องพีซีและคอมพิวเตอร์แบบพกพาทั่วไป
มีชื่อเรียกแตกต่างกัน เช่น flash drive,
thumb drive หรือ handy drive โดยสามารถต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์และอ่านค่าข้อมูลนั้นได้โดยตรง
อุปกรณ์หน่วยความจำแบบแฟรชนี้อาจอยู่ในรูปแบบของ memory card ที่ใช้สำหรับจัดเก็บข้อมูลประเภทภาพถ่ายหรือข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ในอุปกรณ์ดิจิตอลแบบพกพาทั้งหลาย
เช่น กล้องถ่ายรูปดิจิตอลหรือพีดีเอ ซึ่งมีหลายฟอร์แมต (ดังรูป) เช่นอ Compact Flash (CF), SmartMedia ( เลิกผลิตแล้ว), Secure Digital และ Multimedia
Memory Card (SD/MMC ซึ่งมีขนาดเท่ากัน) และ Memory Stick โดยการอ่านข้อมูลอาจใช้อุปกรณ์ดิจิตอลนั้นต่อพ่วงเข้ากับคอมพิวเตอร์โดยตรงหรือใช้อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่า
card reader ช่วยอ่านข้อมูลที่เก็บอยู่ภายในได้เช่นเดียวกัน
หน้าที่ของหน่วยรบข้อมูลเข้า และประเภทอุปกรณ์ของหน่วยรับข้อมูล
1. หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)
หน่วยรับข้อมูล คือ
เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลรับข้อมูลหรือคำสั่ง
จากผู้ใช้เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ เป็นต้น
โดยจะแปลงข้อมูลหรือคำสั่งนั้นให้อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้าที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ
นำมาจัดเก็บที่หน่วยความจำหลัก และใช้ประมวลผลได้
อุปกรณ์หน่วยรับข้อมูลที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้
1.1 แป้นพิมพ์ (keyboard)
เป็นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับคอมพิวเตอร์
แป้นพิมพ์ที่ใช้ในการป้อนข้อมูลจะมีจำนวนตั้งแต่ 50 แป้นขึ้นไป
แผงแป้นอักขระส่วนใหญ่มีแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก
เพื่อทำให้การป้อนข้อมูลตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น การวางตำแหน่งแป้นอักขระ
จะเป็นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์สัมผัสของเครื่องพิมพ์ดีด ที่มีการใช้แป้นยกแคร่ (shift)
เพื่อทำให้สามารถใช้พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก
ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้นพิมพ์
แผงแป้นอักขระจะส่งรหัสขนาด 7 หรือ 8
บิต นี้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์
เมื่อนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานพิมพ์ภาษาไทยจึงต้องมีการดัดแปลงแผงแป้นอักขระให้สามารถใช้งานได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย
กลุ่มแป้นที่ใช้พิมพ์ตัวอักษรภาษาไทยจะเป็นกลุ่มแป้นเดียวกับภาษาอังกฤษ
แต่จะใช้แป้นพิเศษแป้นหนึ่งทำหน้าที่สลับเปลี่ยนการพิมพ์ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษภายใต้การควบคุมของซอฟต์แวร์อีกชั้นหนึ่ง
แผงแป้นอักขระสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตระกูลไอบีเอ็มที่ผลิตออามารุ่นแรก
ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 จะเป็นแป้นรวมทั้งหมด 83
แป้น ซึ่งเรียกว่า แผงแป้นอักขระพีซีเอ็กซ์ที ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 บริษัทไอบีเอ็มได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระ
กำหนดสัญญาณทางไฟฟ้าของแป้นขึ้นใหม่ จัดตำแหน่งและขนาดแป้นให้เหมาะสมดียิ่งขึ้น
โดยมีจำนวนแป้นรวม 84 แป้น เรียกว่า แผงแป้นอักขระพีซีเอที
และในเวลาต่อมาก็ได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระขึ้นพร้อม ๆ กับการออกเครื่องรุ่น PS/2 โดยใช้สัญญาณทางไฟฟ้า เช่นเดียวกับแผงแป้นอักขระรุ่นเอทีเดิม
และเพิ่มจำนวนแป้นอีก 17 แป้น รวมเป็น 101 แป้น
การเลือกซื้อแผงแป้นอักขระควรพิจารณารุ่นใหม่ที่เป็นมาตรฐานและสามารถใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่
สำหรับเครื่องขนาดกระเป๋าหิ้วไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อปหรือโน้ตบุ๊ค ขนาดของแผงแป้นอักขระยังไม่มีการกำหนดมาตรฐาน
เพราะผู้ผลิตต้องการพัฒนาให้เครื่องมีขนาดเล็กลงโดยลดจำนวนแป้นลง
แล้วใช้แป้นหลายแป้นพร้อมกันเพื่อทำงานได้เหมือนแป้นเดียว
ชนิดของแป้นพิมพ์
1. แป้นพิมพ์ที่ออกแบบตามหลักการยศาสตร์
(ergonomic keyboard) เป็นแป้นพิมพ์ที่ออกแบบการจัดวางปุ่มกดตามสรีระของมือ
เพื่อช่วยลดอาการเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณข้อมือ ที่เกิดจากการพิมพ์งานเป็นเวลานาน ๆ
รวมทั้งมีปุ่มสำหรับเลือกฟังก์ชันการใช้งานที่ครบถ้วน เช่น
ปุ่มควบคุมระบบมัลติมีเดีย ไม่วจะเป็นการฟังเพลง การเล่นไฟล์วีดิโอต่าง ๆ
สามารถทำได้อย่างสะดวก เป็นต้น
แป้นพิมพ์มาตรฐาน
2. แป้นพิมพ์ไร้สาย
(cordless keyboard) เป็นแป้นพิมพ์ที่สามารถส่งผ่านข้อมูลโดยเทคโนโลยีไร้สาย
และทำงานโดยใช้พลังงานแบตเตอรี่ ทำให้เกิดความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
แป้นพิมพ์ไร้สาย
3. แป้นพิมพ์พกพา (portable
keyboard) เป็นแป้นพิมพ์ที่ออกแบบสำหรับเรื่องพีดีเอ
เนื่องจากการพิมพ์ข้อมูลลงบนแป้นพิมพ์ของเครื่องพีดีเอนั้นไม่สะดวก
เพราะมีแป้นพิมพ์ที่มีขนาดเล็ก จึงมีการสร้างแป้นพิมพ์ที่เหมาะสมกับเครื่องพีดีเอ
ซึ่งสามารถพกพาไปยังที่ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
แป้นพิมพ์แบบพกพา
4. แป้นพิมพ์เสมือน
เป็นแป้นพิมพ์ที่ออกแบบสำหรับใช้ร่วมกับเครื่องพีดีเอเช่นเดียวกันกับแป้นพิมพ์พกพา
แต่ต่างกันตรงที่มีการจำลองภาพให้เป็นเสมือนแป้นพิมพ์จริง โดยอาศัยการทำงานของแสงเลเซอร์ยิงลงไปบนโต๊ะหรืออุปกรณ์รองรับสัญญาณที่เป็นพื้นผิวเรียบ
เมื่อต้องการใช้งานสามารถพิมพ์หรือป้อนข้อมูลที่เห็นเป็นภาพเหมือนแผงแป้นพิมพ์นั้นเข้าไปได้เลย
ตัวรับแสงในอุปกรณ์จะตรวจจับได้เองว่าผู้ใช้วางนิ้วไหนไปกดตรงตัวอักษรใด และป้อนข้อมูลตัวอักษรลงในเครื่องได้
แป้นพิมพ์เสมือน
1.2 เมาส์ (Mouse)
เมาส์ชนิดต่าง ๆ
Mouse จัดเป็น Input Device ประเภทหนึ่งซึ่งข้อมูลที่ป้อน เข้าไป
จะเป็นตำแหน่งและการ กด Mouse Mouse มีอยู่ด้วยกัน
หลายประเภท ได้แก่
• Mouse แบบปกติที่พบเห็นทั่วไปอาจจะมี 2 ปุ่ม หรือ 3 ปุ่ม
เมาส์แบบมาตรฐานทั่วไป
• Mouse แบบไร้สาย (Wireless) ซึ่งจะใช้ สัญญษณวิทยุโดย Mouse เป็นตัวส่งสัญญาณ และมีตัวรับสัญญาณ
ที่ต่อกับเครื่องคอม
เมาส์แบบไร้สาย
• Mouse แสง (Optical Mouse) เป็น Mouse ที่ไม่มีลูกกลิ้งที่ฐาน
Mouse โดยใช้การอ่านค่าจากการ
สะท้อนของแสงที่สัมผัสกับพื้นผิว
เมาส์แสง
• Scroll Mouse
เป็น Mouse ที่มี Scroll ไว้เพื่อใช้เลื่อน Scroll Bar ในโปรแกรม
ประยุกต์ต่าง ๆ
เช่น Internet
Explorer นอกจาก Mouse แล้วยังมีอุปกรณ์อีก
ประเภทที่เรียกว่า Track Ball ซึ่งจะมีลักษณะคล้าย Mouse
แต่ จะมี Ball อยู่ด้านบนแทนที่จะอยู่ด้านล่าง
และเลื่อน Pointer โดยการ ใช้ นิ้วมือกลิ้งไปบน Ball
Scroll
Mouse
เมาส์ คือ
อุปกรณ์นำเข้าข้อมูลที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปอีกชนิดหนึ่ง
ซึ่งใช้งานง่ายและสะดวกกว่าแป้นพิมพ์มาก
เนื่องจากไม่จ้องจดจำคำสั่งสำหรับป้อนเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ มีรูปร่างโค้งๆ
งอๆ เหมือนก้อนสบู่ กลไกภายในจะมีลูกกลิ้งกลมสำหรับหมุนใช้กำหนดตำแหน่ง
เพื่อเลือกคำสั่งหรือวาดลายเส้นบนจอภาพ ตำแหน่งจุดตัด X และ Y จากเครื่องมือนี้จะสัมพันธ์กับจุดตัดXและYบนจอภาพทำให้สามารถกำหนดคำสั่งหรือตำแหน่งลายเส้นตามเงื่อนไขในโปรแกรมได้สะดวก
เมาส์สามารถแบ่งออกตามโครงสร้างและรูปแบบการใช้งานได้
3 แบบ คือ
1. เมาส์แบบลูกกลิ้งชนิดตัวเมาส์เคลื่อนที่ (BallMouse) อาศัยกำหนดจุดXและYโดยกลิ้งลูกยางทรงกลมไปบนพื้นเรียบ(นิยมใช้แผ่นยางรอง
เพื่อป้องกันการลื่น)เมาส์แบบลูกกลิ้งชนิดตัวเมาส์อยู่กับที่(TrackBall)อาศัยลูกยางทรงกลมที่ถูกกลิ้งโดยนิ้วมือผู้ใช้ เพื่อกำหนดจุดตัด X และ Y
2. เมาส์ไร้สายโดยทั่วไปมักใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กหรือในบริเวณที่มีเนื้อที่จำกัด
ซึ่งไม่สะดวกที่จะใช้เมาส์แบบเคลื่อนที่ เช่น ติดตั้งบนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค (Notebook
Computer) หรือ คอมพิวเตอร์แล็ปทอป (Laptop Computer) เป็นต้น
3. เมาส์แบบแสง (Optical Mouse) มีลักษณะการใช้งานเช่นเดียวกับ
Ball Mouse แต่อาศัยแสงแทนลูกกลิ้งในการกำหนดจุดตัด X
และ Y โดยแสงจากตัวเมาส์พุ่งลงสู่พื้นแล้วสะท้อนกลับขึ้นสู่ตัวรับแสงบนตัวเมาส์อีกครั้ง
(แผ่นรองเป็นแบบสะท้อนแสง)
เมาส์จะมีปุ่มอยู่ด้านบน
2-3 ปุ่ม ซึ่งขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตว่าจะผลิตออกมา
เพื่อรองรับโปรแกรมใดบ้าง เนื่องจากบางโปรแกรมอาจต้องใช้ปุ่มกลางในการใช้งาน
แต่โดยทั่วๆ ไปแล้วนิยมใช้แค่ปุ่มซ้ายกับปุ่มขวาเท่านั้น การใช้เมาส์ที่ถูกต้อง
ควรจับเมาส์ให้พอเหมาะกับอุ้งมือ นิ้วชี้จะอยู่ที่ปุ่มด้านซ้าย
ส่วนนิ้วกลางวางที่ปุ่มขวา อุ้งมือสำหรับบังคับให้เลื่อนเมาส์ไปมาได้สะดวก
เมื่อเราเลื่อนเมาส์จะพบตัวชี้เมาส์วิ่งไปมาบนจอภาพ
แสดงว่าเมาส์กำลังทำงานอยู่ตามปกติ
1.3 สแกนเนอร์ (scanner)
สแกนเนอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้หลักการของการส่องแสงไปยังข้อความ
สัญลักษณ์ หรือภาพ ที่ต้องการทำสำเนาภาพ
จากนั้นข้อมูลที่ถูกอ่านจะถูกแปลงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้า และเก็บเป็นไฟล์ภาพ สแกนเนอร์
มี 3 ประเภท คือ
1) สแกนเนอร์มือถือ เป็นสแกนเนอร์ที่มีขนาดเล็ก
สามารถถือและพกพาติดตัวได้สะดวก การใช้สแกนเนอร์มือถือนี้
ผู้ใช้ต้องถือตัวสแกนเนอร์เลื่อนผ่านบนภาพหรือเอกสารต้นฉบับที่ต้องการ
สแกนเนอร์มือถือ
2) สแกนเนอร์แบบสอดกระดาษ (sheetfed scanner) เป็นสแกนเนอร์ที่ผู้ใช้ต้องสอดภาพหรือเอกสารเข้าไปยังช่องสำหรับอ่านข้อมูล
เครื่องชนิดนี้จะเหมาะสำหรับการอ่านเอกสารที่เป็นแผ่น ๆ
แต่ไม่สามารถอ่านเอกสารที่เย็บเป็นเล่มได้
สแกนเนอร์แบบสอดกระดาษ
3) สแกนเนอร์แบบแท่น (flatbed scanner) เป็นสแกนเนอร์ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
โดยการวางกระดาษเอกสารต้นฉบับที่ต้องการไปบนเครื่องสแกนเนอร์ ทำให้ใช้งานได้ง่าย
สแกนเนอร์แบบแท่น
หน้าที่ของหน่วยแสดงผล
และประเภทอุปกรณ์ ของหน่วยแสดงผล
ส่วนแสดงผล (Output Unit)
หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากคอมพิวเตอร์
โดยมากจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1.หน่วยแสดงผลชั่วคราว (Soft Copy) หมายถึง
การแสดงผลออกมาให้ผู้ใช้ได้รับทราบในขณะนั้น
แต่เมื่อเลิกการทำงานหรือเลิกใช้แล้วผลนั้นก็จะหายไป ไม่เหลือเป็นวัตถุให้เก็บได้
ถ้าต้องการเก็บผลลัพธ์นั้นก็สามารถส่งถ่ายไปเก็บในรูปของข้อมูลในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง
เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในภายหลัง ได้แก่
จอภาพ (Monitor)
อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector)
อุปกรณ์เสียง (Audio Output)
2.หน่วยแสดงผลถาวร (Hard Copy) หมายถึง การแสดงผลที่สามารถจับต้อง
และเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ มักจะออกมาในรูปของกระดาษ
ซึ่งผู้ใช้สามารถนำไปใช้ในที่ต่าง ๆ หรือให้ผู้ร่วมงานดูในที่ใด ๆ ก็ได้
อุปกรณ์ที่ใช้เช่น
– เครื่องพิมพ์ (Printer)
– เครื่องพลอตเตอร์ (Plotter)
ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหาร
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจมีจุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหาและตอบคำถามลักษณะ
"อะไรจะเกิดขึ้นถ้า…"
หรือลักษณะต้องทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการและคำถามในลักษณะมีความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง
ซึ่งผู้ที่ ตัดสินใจและต้องการใช้ระบบนี้ส่วนมากมักจะเป็นผู้บริหารระดับกลางซึ่งจะต้องเกี่ยวข้องับปัญหาและการทำงานหลัก
แต่สารสนเทศที่ได้จากระบบสนับสนุนการตัดสินใจมักจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริหารระดับสูงได้
เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงต้องมองในระดับกว้างขององค์กรและผู้บริหารมีเวลาน้อย
ระบบสารสนเทศเพื่อ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องใช้งานง่ายและสารสนเทศที่ได้จากระบบจะต้องอยู่ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
แหล่งข้อมูลที่ใช้อาจจะมาจากแหล่งข้อมูลภายนอกและแหล่งข้อมูลภายในเช่นระบบประมวลผลรายการหรือระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ทำให้ผู้บริหารระดับสูงสามารถหาสาเหตุที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ต่างๆได้
ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารมีประสิทธิภาพและความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลสูงด้วยการใช้เครื่อง
เมนเฟรม
ใช้งานง่ายและมีความสามารถในการแสดงผลด้วยรูปภาพได้ด้วยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
โดยสารสนเทศถูกถ่ายโอนจากเครื่องเมนเฟรมหรือฐานข้อมูลข้อมูลภายนอกเข้ามายังเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
และผู้บริหารสามารถใช้อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งเช่น เมาส์
เพื่อเลือกจากรายการของผลลัพธ์และรูปแบบการแสดงผลได้
เนื่องจากผู้บริหารมักจะทำการค้นหาข้อมูลและตอบคำถามที่ต้องการมากกว่าการป้อนข้อมูล
ในระบบสารสนเทศเพื่อ ผู้บริหารนี้จึงไม่นิยมใช้แป้นพิมพ์
ผลลัพธ์ที่ได้มักจะอยู่ในรูปแบบของแผนภาพหรือแผนภาพและตาราง
ทำให้ผู้บริหารสามารถเข้าใจแนวโน้มและนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ตัดสินปัญหาได้ตรงตามความต้องการ
Information
Systems Infrastructure and Architecture
Information
Technology Infrastructure
โครงสร้างของ IT จะประกอบด้วย:
สิ่งอำนวยความสะดวกทางกายภาพต่าง ๆ ส่วนประกอบต่าง ๆ ของ IT การให้บริการ ด้านต่าง ๆ ของ IT, และ การบริหารด้าน IT
ที่สนับสนุนการปฏิบัติงานทั่วทั้งองค์กร
องค์หลัก ๆ IT
Infrastructure ได้แก่ เทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์ 1) ด้านฮาร์ดแวร์
2)ซอฟท์แวร์ 3) สิ่งอำนวยความสะด้วยในด้านโครงข่ายและการสื่อสาร 4) ฐานข้อมูล
5)บุคคลผู้ทำการบริหารจัดการสารสนเทศ และ รวมไปถึง การบริการด้าน IT ประกอบ ด้วย การพัฒนาระบบบริหารข้อมูล และ การรักษาความ ปลอดภัยในส่วนที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนั้น IT Infrastructure ยังประกอบด้วยทรัพยากรต่างๆ
ที่กล่าวมาข้างต้น รวมไปถึง การประ กอบเข้าด้วยกัน การทำงานร่วมกัน
การจัดทำเอกสารต่าง ๆ การดูแลรักษา และ การจัดการ
Information
Infrastructure (สรุปได้ดังรูป)
1) Hardware
2) Software
3) Networks &
communication facilities
4) Databases
5) IS personnel
สถาปัตยกรรมของ IT (Information technology architecture) หมายถึง แผนที่หรือ แบบแผนระดับสูงหนึ่ง ๆ ที่แสดงทรัพยากรต่างๆ
เกี่ยวข้องกับสารสนเทศในองค์กรหนึ่ง ๆ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแนวทางของการปฏิบัติงานในปัจจุบัน
และเป็นพิมพ์เขียว (blueprint)ของทิศทางที่จะมุ่งไปในอนาคต
เพื่อให้มั่นใจได้ว่า โครงสร้างของ IT ในองค์การนั้น ๆ
สามารถรองรับกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทได้ ในการจัดเตรียม IT architecture ผู้ออกแบบจะต้องมีสารสนเทศอยู่ในมือสองส่วน ได้แก่:
-
ธุรกิจนั้นต้องการสารสนเทศอะไร หมายถึง วัตถุประสงค์ต่างๆ ปัญหาต่าง ๆ ของ องค์กร
รวมถึงการนำ IT เข้าไปมีส่วนร่วม (สนับสนุน)
- IT
infrastructure ที่มีอยู่แล้ว ถูกวางแผนเอาไว้แล้ว และ
การประยุกต์ใช้งานต่าง ๆ ในองค์กร มีอะไรบ้าง สารสนเทศในส่วนนี้รวมไปถึง
ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตด้วย
- เทอม “Information
Technology หรือ IT” บางครั้งมันสร้างความสับสนให้กับเรา
เหมือนกัน ในเอกสารการสอนนี้ เราจะใช้ในความหมายกว้าง ๆ ดังนี้
- IT หมายถึง การรวบรวมทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับสารสนเทศต่างๆ ในองค์กรหนึ่งๆ
ผู้ใช้งานต่างๆ และ การบริหารสิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทั้งนี้ รวมถึง
โครงสร้างของ IT และ ระบบสารสนเทศอื่น ๆ ทั้งหมดในองค์กรนั้น
ๆ
โดยทั่วไปแล้ว
มักจะใช้สลับไปมาระหว่างคำว่า “information system”
Information Architecture According to Computing Paradigms
(Environments) (มองในเชิงของฮาร์ดแวร์)
Computing
Environment หมายถึงวิธีการซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ ขององค์กร (hardware,
software, และ communications technology) ถูกจัดแบ่งและรวมกลุ่มเข้า
ด้วยกัน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีที่สุด (optimal
efficiency and effectiveness)
1) Mainframe
Environment มีใช้น้อยมากขอข้ามไป
2) PC Environment
PC-LANs
Wireless LANs
(WLAN)
3) Distribution
Computing หมายถึง สถาปัตยกรรมในการคำนวณที่แบ่งงาผนที่ต้อง
ประมวลให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ สองเครื่องหรือมากกว่าทำงานร่วมกัน โดยผ่าน
ทางการเชื่อมต่อของโครงข่ายหนึ่ง ๆ บางทีมักเรียกว่า การประมวลผลแบบกระจาย (distributed
processing)
ก) Client /
server architecture
ประเภทหนึ่งของ
distributed
architecture ซึ่งแบ่ง distributed computing units ออกเป็นสองรูปแบบหลัก ๆ คือ ไคลเอ้นท์ (client) และ
เซิร์ฟเวอร์ (server) เชื่อมต่อ เข้าด้วยกันโดยโครงข่ายหนึ่ง
ๆ
- ไคลเอ้นท์ (Client) คือ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง (เช่น PC ที่ต่ออยู่กับโครงข่ายหนึ่ง)
ที่ใช้สำหรับติดต่อ(access) กับทรัพยากรต่าง ๆ ที่ใช้ร่วมกันผ่านโครงข่าย
(shared network resources)
- เซิร์ฟเวอร์
(Server) คือ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่ต่ออยู่กับโครงข่ายแบบไคลเอ้นท์ /
เซิร์ฟเวอร์วงหนึ่ง และให้บริการไคลเอ้นท์ต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบ
ข) Enterprise
wide computing หมายถึง Computing environment ที่ซึ่งแต่ละ client/ server architecture ถูกใช้ทั่วทั้งองค์กร
ค) Legacy system:
ระบบแบบเก่าซึ่งใช้จัดการกับการดำเนินธุรกรรมที่มีอยู่มากมายขององค์กร
โดยถือว่าเป็นศูนย์กลางของการทำธุรกิจหนึ่ง ๆ
ง)
เพียร์-ทู-เพียร์ (Peer- to – Peer (P2P)) หมายถึง distribute
computing network อันหนึ่งซึ่งแต่ละ client/server computer
ใช้แฟ้มข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกัน (shares files) หรือ
ใช้ computer resources directory ร่วมกับส่วนอื่น ๆ
แต่จะต้องไม่ทำตัวเป็นตัว กลางการให้บริการทั้งหมด (central service) (เหมือนกับ traditional client/ server architecture).
Strategic ICT
Trends: Investing in Technology to Compete in a Sea of Change and Innovation
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
โดยมีแรงผลักดันทางการตลาดหลายด้านที่กดดันให้องค์กรต่างๆ พยายามสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นมา
เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ได้รับจากโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ
ในบทความนี้กล่าวถึงแนวโน้มไอซีที 6
ประการที่อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงการลงทุนในเทคโนโลยีขององค์กร ได้แก่ 1)
คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในต้นทุนรวมของการลงทุนในสาธารณูปโภคด้านไอซีที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขีดความสามารถการทำงานในรูปแบบต่างๆ เช่น
การเติบโตอย่างรวดเร็ว ฤดูกาล และการเกิดความต้องการที่ไม่ได้คาดหมาย เป็นต้น 2)
นวัตกรรมเพื่อการเติบโต (Innovation for Growth) เป็นแรงผลักดันทางธุรกิจที่มีอำนาจสูง
ซึ่งองค์กรต้องสามารถแยกความแตกต่างได้ว่า
นวัตกรรมไอซีทีชนิดใดสามารถทำให้องค์กรก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมได้ 3)
ธุรกิจอัจฉริยะ (Business Intelligence) เป็นแรงผลักดันที่ช่วยให้เกิดการผสมผสานข้อมูลต่างๆ
ในองค์กรให้เกิดความจริงที่เป็นหนึ่งเดียว
ซึ่งจะสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในกลยุทธ์องค์กรและการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์
4) การบริโภคเทคโนโลยีไอที (Consumerization of IT) ทำให้เกิดการคาดหวังในแผนกไอทีที่สูงขึ้น
และขยายความต้องการในโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือต่างๆ ในการวางกลยุทธ์ 5)
การมีปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติ (Natural User
Interfaces) คือ
การเปลี่ยนแปลงในเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคและเทคโนโลยี
และมีการขยายวงกว้างขึ้น อันเกิดจากความก้าวหน้าของนวัตกรรม สุดท้ายคือ 6) การบริการผ่านเครือข่ายทางสังคม (Social Network Service) ซึ่งทำให้เกิดกระแสของการปรับเปลี่ยนการมีปฏิสัมพันธ์ทั้งในสังคมและผู้เชี่ยวชาญ
รวมทั้งความสามารถของนักโฆษณาและผู้จัดหางานในการสื่อสารกับผู้บริโภคอีกหลายล้านคน
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์แพลทฟอร์ม
(Computer
Hardware Platforms)
แพลตฟอร์ม คือสภาวะแวดล้อมที่ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของระบบคอมพิวเตอร์ระบบหนึ่ง
เช่น แพลตฟอร์มเอ็มเแสดอสบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซีพียู 80486, ยูนิกส์ บนเครื่องซัน SPARC station, System 7
บนเครื่องแมคอินทอช Powerbook 180 เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการต่างกัน ก็จะมี Platform ที่ต่างกันไปด้วย
แพลตฟอร์มจะประกอบด้วย ระบบปฏิบัติการ ,โปรแกรมประสานงานระบบคอมพิวเตอร์
และ ไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่ง Microchip ของคอมพิวเตอร์ใช้ในการทำงานด้ายตรรกะ
และจัดการการเคลื่อนย้ายข้อมูล ระบบปฏิบัติการต้องได้รับการออกแบบให้ทำงานกับคำสั่งของ
ไมโครโพรเซสเซอร์ เช่น Microsoft Windows 95
ได้รับการสร้างให้ทำงานกับชุดคำสั่งของ ไมโครโพรเซสเซอร์ของ Intel เพื่อการใช้คำสั่งร่วมกัน นอกจากนี้ ยังหมายถึงส่วนอื่น ๆ เช่น เมนบอร์ด
และ บัสของข้อมูล แต่ส่วนเหล่านี้กำลังเพิ่มลักษณะที่เป็นโมดูล และมาตรฐานมากขึ้น
ในอดีตโปรแกรมประยุกต์แต่ละโปรแกรมยังจะเขียนใหม่ให้ทำงานเฉพาะ platform เนื่องจากแต่ละ Platform มีโปรแกรมอินเตอร์เฟซที่ต่างกัน
ดังนั้น โปรแกรมของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลต้องมีการเขียนให้ทำงานกับ Windows ชุดหนึ่ง และทำงานกับ Macintosh อีกชุดหนึ่ง
แต่ระบบเปิดหรือมาตรฐานด้านอินเตอร์เฟซยินยอมให้บางโปรแกรมทำงานกับ Platform
ที่ต่างกันโดยผ่านโปรแกรมตัวกลาง หรือ broker Programs
ข้ามแพลตฟอร์ม หรือ หลายแพลตฟอร์ม (อังกฤษ: Cross-platform)
หมายถึงการที่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม ระบบปฏิบัติการ หรือ
ซอฟต์แวร์ชนิดอื่น ๆ สามารถทำงานได้ในหลายแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างเช่น
โปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้บนไมโครซอฟท์วินโดวส์ สำหรับสถาปัตยกรรม x86 และ Mac OS X บน PowerPC
ระบบสารสนเทศ (Information system) หมายถึง
ระบบที่ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์
ระบบเครือข่าย ฐานข้อมูล ผู้พัฒนาระบบ ผู้ใช้ระบบ พนักงานที่เกี่ยวข้อง และ
ผู้เชี่ยวชาญในสาขา
ทุกองค์ประกอบนี้ทำงานร่วมกันเพื่อกำหนด
รวบรวม จัดเก็บข้อมูล
ประมวลผลข้อมูลเพื่อสร้างสารสนเทศ และส่งผลลัพธ์หรือสารสนเทศที่ได้ให้ผู้ใช้เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงาน
การตัดสินใจ การวางแผน การบริหาร การควบคุม
การวิเคราะห์และติดตามผลการดำเนินงานขององค์กร (สุชาดา กีระนันทน์, 2541)
ระบบสารสนเทศ หมายถึง ชุดขององค์ประกอบที่ทำหน้าที่รวบรวม ประมวลผล จัดเก็บ และแจกจ่ายสารสนเทศ
เพื่อช่วยการตัดสินใจ และการควบคุมในองค์กร
ในการทำงานของระบบสารสนเทศประกอบไปด้วยกิจกรรม 3 อย่าง คือ การนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ (Input) การประมวลผล (Processing) และ การนำเสนอผลลัพธ์ (Output) ระบบสารสนเทศอาจจะมีการสะท้อนกลับ
(Feedback) เพื่อการประเมินและปรับปรุงข้อมูลนำเข้า ระบบสารสนเทศอาจจะเป็นระบบที่ประมวลด้วยมือ(Manual)
หรือระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้ (Computer-based information
system –CBIS) (Laudon & Laudon, 2001)
แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงระบบสารสนเทศ
มักจะหมายถึงระบบที่ต้องอาศัยคอมพิวเตอร์และระบบโทรคมนาคม
ระบบสารสนเทศ หมายถึง
ระบบคอมพิวเตอร์ที่จัดเก็บข้อมูล และประมวลผลเป็นสารสนเทศ
และระบบสารสนเทศเป็นระบบที่ต้องอาศัยฐานข้อมูล
(CIS 105 --
Survey of Computer Information Systems, n.d.)
ระบบสารสนเทศ หมายถึง
ชุดของกระบวนการ บุคคล และเครื่องมือ ที่จะเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ (FAO Corporate
Document Repository, 1998) ระบบสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นระบบมือหรือระบบอัตโนมัติ หมายถึง
ระบบที่ประกอบด้วย คน เครื่องจักรกล(machine) และวิธีการในการเก็บข้อมูล ประมวลผลข้อมูล และเผยแพร่ข้อมูล
ให้อยู่ในลักษณะของสารสนเทศของผู้ใช้ (Information system, 2005)
สรุปได้ว่า ระบบสารสนเทศ ก็คือ ระบบของการจัดเก็บ ประมวลผลข้อมูล
โดยอาศัยบุคคลและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการ
เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสมกับงานหรือภารกิจแต่ละอย่าง
ระบบผู้เชี่ยวชาญ
(Artificial
Intelligence / Expert System : AI/ES)
Cloud Computing คือบริการที่ครอบคลุมถึงการให้ใช้กำลังประมวลผล
หน่วยจัดเก็บข้อมูล และระบบออนไลน์ต่างๆจากผู้ให้บริการ
เพื่อลดความยุ่งยากในการติดตั้ง ดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลา
และลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเอง
ซึ่งก็มีทั้งแบบบริการฟรีและแบบเก็บเงิน หากแปลความหมายของคำว่า Cloud
Computing ดูจะเข้าใจยาก หรือถ้าแปลเป็นไทย “การประมวลผลบนกลุ่มเมฆ”
ก็ยิ่งดูจะงงเข้าไปใหญ่ แต่น่าจะง่ายกว่าถ้าบอกว่า Cloud Computing คือการที่เราใช้ซอฟต์แวร์, ระบบ, และทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ ผ่านอินเทอร์เน็ต
โดยสามารถเลือกกำลังการประมวลผล เลือกจำนวนทรัพยากร ได้ตามความต้องการในการใช้งาน
และให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลบน Cloudจากที่ไหนก็ได้
โครงสร้างทั้งหมด
1.Networks
2.Data
3.Database
4.Software
5.Hardware
1.
ระบบการประมวลผลทางธุรกิจ (Transaction Processing System : TPS)
ระบบการประมวลผลทางธุรกิจ
มักเป็นการประมวลผลต่อวัน เช่น การรับ – จ่ายบิล ระบบควบคุมสินค้าคงคลัง
ระบบรายรับ – จ่ายสินค้า ระบบนี้เป็นระบบสารสนเทศลำดับแรกที่ได้รับ
การพัฒนาให้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ลักษณะเด่นของระบบ TPS คือ การทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานง่าย
ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน ซึ่งระบบนี้เกือบทั้งหมดใช้การประมวลผลแบบออนไลน์
และสิ่งที่องค์กรจะได้รับเมื่อใช้ระบบนี้ คือ
– ลดจำนวนพนักงาน
– องค์กรจะมีการบริการที่สะดวกรวดเร็ว
– ลูกค้ามีจำนวนเพิ่มมาก
2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management
Information System : MIS)
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ
ระบบที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารที่ต้องการ
การประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้ประโยชน์มากกว่าการช่วยงานแบบต่อวัน MIS จึงมีความสามารถในการคำนวณเปรียบเทียบข้อมูล
ซึ่งมีความหมายต่อการจัดการและบริหารงานเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้นระบบนี้ยังสามารถสร้างสารสนเทศที่ถูกต้องทันสมัย
คุณสมบัติของระบบ
MIS คือ
– ระบบ MIS สนับสนุนการทำงานของระบบประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลรายวัน
– ระบบ MIS จะใช้ฐานข้อมูลที่ถูกรวมเข้าด้วยกัน
และสนับสนุนการทำงานของฝ่ายต่างๆ ในองค์กร
– ระบบ MIS จะช่วยให้ผู้บริหารระดับต้น
ระดับกลาง ระดับสูงเรียกใช้ข้อมูลที่เป็นโครงสร้างได้ตามเวลาที่ต้องการ
– ระบบ MIS จะมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับความต้องการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงขององค์กร
– ระบบ MIS ต้องมีระบบรักษาความลับของข้อมูล
และจำกัดการใช้งานของบุคคลเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
3.
ระบบช่วยตัดสินใจ (Decision Support System : DSS)
ระบบช่วยตัดสินใจ หมายถึง
ระบบที่ทำหน้าที่จัดเตรียมสารสนเทศ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ หากเป็นการใช้โดยผู้บริหารระดับสูง
เรียกว่า “ระบบสนับสนุนการตัดสินในเพื่อผู้บริหารระดับสูง” (Executive
Support System : ESS) บางครั้งสารสนเทศที่ TPS และ MIS ไม่สามารถช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้จำเป็นต้องพัฒนาระบบช่วยตัดสินใจ
DSS ขึ้น เพื่อช่วยในการตัดสินใจภายใต้ผลสรุปและการเปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งอื่น
ทั้งภายในและนอกองค์กร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า เช่น
การตัดสินใจเกี่ยวกับการรวมบริษัท การขยายโรงงานใหม่ เป็นต้น
คุณสมบัติของระบบ
DSS คือ
– ระบบ DSS จะต้องช่วยผู้บริหารในกระบวนการการตัดสินใจ
– ระบบ DSS จะต้องถูกออกแบบมาให้สามารถเรียกใช้ทั้งข้อมูลแบบกึ่งโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้างแน่นอนได้
– ระบบ DSS จะต้องสามารถสนับสนุนผู้ตัดสินใจได้ในทุกระดับแต่จะเน้นที่ระดับวางแผนบริหารและวางแผนยุทธศาสตร์
– ระบบ DSS มีรูปแบบการใช้งานอเนกประสงค์
มีความสามารถในการจำลองสถานการณ์และมีเครื่องมือในการวิเคราะห์สำหรับช่วยเหลือผู้ทำการตัดสินใจ
– ระบบ DSS ต้องเป็นระบบที่โต้ตอบกับผู้ใช้ได้
สามารถใช้งานได้ง่ายผู้บริหารต้องสามารถใช้งานโดยพึ่งความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญน้อยที่สุดหรือไม่ต้องพึ่งเลย
– ระบบ DSS ต้องสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการข่าวสารในสภาพการณ์ต่างๆ
– ระบบ DSS ต้องมีกลไกช่วยให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
– ระบบ DSS ต้องสามารถติดต่อกับฐานข้อมูลขององค์กรได้
–
ระบบ DSS ต้องทำงานโดยไม่ขึ้นกับระบบการทำงานตามตารางเวลาขององค์กร
– ระบบ DSS มีความยืดหยุ่นพอที่จะรองรับรูปแบบการบริหารแบบต่าง
ๆ
4.
ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง (Executive Information System : EIS)
ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง คือ MIS ประเภทพิเศษที่ถูกพัฒนาสำหรับผู้บริหารระดับสูง
โดยเฉพาะช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงที่ไม่คุ้นเคยกับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถใช้ระบบสารสนเทศได้ง่ายขึ้น
โดยใช้เมาส์เลื่อนหรือจอภาพแบบสัมผัส
เพื่อเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างกันทำให้ผู้บริหารไม่ต้องจำคำสั่ง
คุณสมบัติของระบบ
EIS
– มีการใช้งานบ่อย
– ไม่ต้องมีทักษะทางคอมพิวเตอร์สูง
–
ความยืดหยุ่นสูงสามารถเข้ากันได้กับรูปแบบการทำงานของผู้บริหาร
– การใช้งานใช้ในการตรวจสอบ ควบคุม
–
การสนับสนุนการตัดสินใจไม่มีโครงสร้างแน่นอน
– ผลลัพธ์ที่แสดงจะเป็นตัวอักษร ตาราง
ภาพและเสียง รวมทั้งระบบมัลติมีเดีย
– การใช้งานภาพกราฟิกสูง
จะใช้รูปแบบการนำเสนอต่างๆ
– ความเร็วในการตอบสนองรวดเร็วทันทีทันใด
ข้อดีของระบบ EIS
1. ง่ายต่อผู้บริหารระดับสูงในการใช้งาน
2.
การใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์
3.
ให้สารสนเทศสรุปของบริษัทในเวลาที่ต้องการ
4. ทำให้สามารถเข้าในสารสนเทศได้ดีขึ้น
5. มีการกรองข้อมูลให้ประหยัดเวลา
6. ทำให้ระบบสามารติดตามสารสนเทศได้ดีขึ้น
ข้อด้อยของระบบ
EIS
1.
มีข้อจำกัดในการใช้งาน
2.
อาจทำให้ผู้บริหารจำนวนมากรู้สึกว่าได้รับข้อมูลมากเกินไป
3. ยากต่อการประเมินผลประโยชน์ที่ได้จากระบบ
4. ไม่สามารถทำการคำนวณที่ซับซ้อนได้
5. ระบบอาจนะใหญ่เกินกว่าที่จะจัดการได้
6. ยากต่อการรักษาข้อมูลให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
7. ก่อให้เกิดปัญหาการรักษาความลับของข้อมูล
5.
ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Artificial Intelligence / Expert System : AI/ES)
ระบบผู้เชี่ยวชาญ หมายถึง
ระบบที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งคล้ายกับมนุษย์
ระบบนี้ได้รับความรู้จากมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์
เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์เหตุผล เพื่อตัดสินใจ
ความรู้ที่เก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์นี้ประกอบด้วย ฐานความรู้ (Knowledge
Bass) และกฎข้อวินิจฉัย (Inference การแบ่งประเภทสารสนเทศมีความหลากหลายแล้วแต่จะใช้องค์ประกอบใดเป็นหลัก
เช่นการวินิจฉัยความผิดพลาดของรถจักรดีเซลไฟฟ้าโดยใช้คอมพิวเตอร์
ลักษณะเด่นของ AI/ES
1
ป้องกันและรักษาความรู้ซึ่งอาจสูญหายไปขณะทำการเรียกข้อมูลหรือการยกเลิกการใช้ข้อมูล
การใช้ข้อมูล ตลอดจนการสูญหาย เนื่องจากขาดการเก็บรักษาความรู้ อย่างเป็นระบบ
และเป็นระเบียบ แบบแผน
2
ระบบผู้เชี่ยวชาญ Expert System จะจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในลักษณะที่พร้อมสำหรับนำไปใช้งาน
และมักจะถูกพัฒนาให้สามารถตอบสนอง ต่อปัญหาในทันทีที่เกิดความต้องการ
3
การออกแบบระบบผู้เชี่ยวชาญ Expert System มักจะคำนึงถึงการบันทึกความรู้ในแต่ละสาขาให้เพียงพอและเหมาะสมกับการใช้งาน
ซึ่งจะทำให้ ระบบสามารถปฏิบัติงานแทนผู้เชี่ยวชาญ อย่างมีประสิทธิภาพ
4
ระบบผู้เชี่ยวชาญ Expert System จะสามารถตัดสินปัญหาอย่างแน่นอ น
เนื่องจากระบบถูกพัฒนาให้สามารถปฏิบัติงานโดยปราศ จากผล กระทบ
ทางร่างกายและอารมณ์ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์เช่น ความเครียด ความเจ็บ ป่วย เป็นต้น
5
ระบบผู้เชี่ยวชาญ Expert System เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจ
โดยเฉพาะองค์การสมัยใหม่ ( Modern Organization ) ที่ต้องการ
สร้าง ความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การวิเคราะห์และวางแผนการตลาด การลดต้นทุน
การเพิ่มการผลิตภาพ เป็นต้น
แนวโน้มของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์แพลทฟอร์ม
แนวโน้มเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในอนาคต
แนวโน้มของเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์
เครื่องคอมพิวเตอร์มีสมรรถนะสูงขึ้น
โดยเฉพาะการทำงานได้เร็วขึ้น มีการคาดการณ์ว่าในอีก 10
ปีคอมพิวเตอร์จะราคาเท่าเดิม แต่จะทำงานได้ดีกว่าเดิม 50
เท่าในด้านความเร็วและหน่วยความจำ ตามกฎของมัวร์ (Moore’s Law) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท
อินเทล (Intel) กล่าวคือ
ชิปจะมีความสามารถในการประมวลผลเพิ่มเป็นเท่าตัวในทุก 18 เดือน แต่ปัจจุบันการใช้วัสดุซิลิคอนผลิตชิปถึงจุดตีบตันเริ่มไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
เครื่องคอมพิวเตอร์จะสามารถแก้ปัญหาได้เอง
(self-solving
problem) เมื่อมีข้อผิดพลาด โดยไม่ต้องอาศัยมนุษย์
โดยเป็นฮาร์ดแวร์ที่มีซอฟต์แวร์ฝังตัว (embedded system) เพื่อการทำงานเฉพาะ
เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ฝังตัวอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ
การใช้นาโนเทคโนโลยี (nanotechnology)
นาโนเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะมีบทบาทในการผลิตวัสดุอุปกรณ์ต่าง
ๆ ที่มีสมรรถนะสูงขึ้น เพราะใช้การเรียงตัวเองของอนุภาคขนาดเล็ก คือ
อะตอมหรือโมเลกุลในตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ และถูกต้อง
ทำให้สามารถพัฒนาโครงสร้างวัสดุหรือสสารอันมีคุณสมบัติพิเศษ
รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดเล็กมากแต่มีสมมถนะสูง
แนวโน้มของเทคโนโลยีซอฟต์แวร์
ในอนาคตซอฟต์แวร์จะยิ่งเอื้อให้ใช้งานได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้มาก ขณะเดียวกันมีลักษณะการใช้งานเชิงกราฟิก
และการปฏิสัมพันธ์ที่โต้ตอบกันได้ทันทีมากขึ้น มีเครื่องมือช่วยผู้ใช้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นคู่มือ คำถามที่ใช้บ่อยและอื่นๆ
ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง
ขณะเดียวกันซอฟต์แวร์เหล่านี้ยังพยายามพัฒนาบนมาตรฐาน เช่น
ซอฟต์แวร์ในองค์การปัจจุบันออกแบบให้ทำงานกับคอมพิวเตอร์หลากหลายลักษณะ เช่น
คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ พีดีเอ เป็นต้น
และยังมีมาตรฐานในการนำเสนอและจัดการเนื้อหาได้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเอชทีเอ็มแอลและเอ็กซ์เอ็มแอล ขณะเดียวกันยังเป็นซอฟต์แวร์แบบบูรณาการ เพื่อเชื่อมโยงระบบสารสนเทศต่าง
ๆ ให้สามารถทำงานร่วมกันและสนับสนุนการทำงานของทั้งองค์การ
แนวโน้มใน
ด้านบวก
-การ
พัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ช่องทางการดำเนินธุรกิจ เช่น
การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การผ่อนคลายด้วยการดูหนัง
ฟังเพลง และบันเทิงต่างๆ เกมออนไลน์
-การ
พัฒนาให้คอมพิวเตอร์สามารถฟังและตอบเป็นภาษา พูดได้
อ่านตัวอักษรหรือลายมือเขียนได้ การแสดงผลของ-คอมพิวเตอร์ได้เสมือนจริง
เป็นแบบสามมิติ และการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส เสมือนว่าได้อยู่ในที่นั้นจริง
-การพัฒนาระบบสารสนเทศ
ฐานข้อมูล ฐานความรู้ เพื่อพัฒนาระบบผู้เชี่ยวชาญและการจัดการความรู้
-การ
ศึกษาตามอัธยาศัยด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) การเรียนการสอนด้วยระบบโทรศึกษา
(tele-education) การค้นคว้าหาความรู้ได้ตลอด 24
ชั่วโมงจากห้องสมุดเสมือน (virtual library)
-การ
พัฒนาเครือข่ายโทร คมนาคม ระบบการสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สาย เครือข่ายดาวเทียม
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ทำให้สามารถค้นหาตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ
-การ
บริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่
โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ
ดำเนินการของภาครัฐที่เรียกว่า รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) รวมทั้งระบบฐานข้อมูลประชาชน หรือ e-citizen
แนวโน้มใน
ด้านลบ
-ความ
ผิดพลาดในการทำงานของระบบ คอมพิวเตอร์ ทั้งส่วนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
ที่เกิดขึ้นจากการออกแบบและพัฒนา
ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบและสูญเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหา
-การละเมิดลิขสิทธิ์ของทรัพย์สินทางปัญญา
การทำสำเนาและลอกเลียนแบบ
-การก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
การโจรกรรมข้อมูล การล่วงละเมิด การก่อกวนระบบคอมพิวเตอร์
“IS IT TIME
FOR CLOUD COMPUTING?”
จากสิ่งที่เราเรียนรู้
cloud
computing หมายถึงประเภทของการประมวลผลที่ขึ้นอยู่กับการใช้ทรัพยากรการใช้งานร่วมกันมากกว่าการมีเซิร์ฟเวอร์หรืออุปกรณ์ส่วนบุคคลเพื่อจัดการกับแอพพลิเคชันมีประโยชน์หลายประการของระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง
1.
ผลประโยชน์ทางธุรกิจอะไรที่ทำให้บริการคอมพิวเตอร์คลาวด์มี? พวกเขา แก้ปัญหาอะไร?
ระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง
(Cloud
Computing) เป็นระบบที่ใช้งานซอฟต์แวร์และโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ
ประโยชน์ของมันคือ:
-สามารถจัดเก็บข้อมูลและข้อมูลจำนวนมากได้
-ช่วยให้เราสามารถสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่และ
-สามารถช่วยให้เราสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการ
นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ตัวอย่างเช่น
-Amazonได้ใช้ แผนกบริการเว็บ (AWS) ซึ่งช่วยในการรับทรัพยากรคอมพิวเตอร์จำนวนมาก
(แยกจัดสรรและจัดการแหล่งข้อมูลคอมพิวเตอร์) คอมพิวเตอร์เมฆให้ Amazon ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มผลกำไรแม้จะใช้เวลามากขึ้นในการทำงานอื่น ๆ
ที่มีค่ามากขึ้น
-บริษัท Zynga ใช้ Amazon Cloud ด้วย
การโอนย้ายระบบคลาวด์นี้สามารถช่วยให้ บริษัท Zynga แก้ปัญหาการจัดเก็บพื้นที่และจ่ายเฉพาะทรัพยากรที่สิ้นสุดลงโดยใช้
การใช้เมฆในการถ่ายโอนข้อมูลขนาดใหญ่ของเกมหนึ่ง ๆ
จะง่ายกว่าการใช้แอปพลิเคชันเก่าอื่น ๆ
-บริษัท InterContinental
ช่วยให้ลูกค้าของพวกเขาได้รับข้อมูลได้เร็วขึ้นหากข้อมูลอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้เคียงกับร่างกาย
2. ข้อเสียของคอมพิวเตอร์คลาวด์มีอะไรบ้าง?
ข้อเสียของคอมพิวเตอร์คลาวด์:
• การหยุดทำงานที่เป็นไปได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
ระบบคลาวด์มีทั้งหมดขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
เมื่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายลดลงบริการคลาวด์ก็ลดลงเช่นกัน
หากบริการอินเทอร์เน็ตของคุณได้รับความทุกข์ทรมานจากการหยุดทำงานบ่อยหรือความเร็วต่ำคอมพิวเตอร์คลาวด์อาจไม่เหมาะสำหรับธุรกิจของคุณ
แม้ว่าผู้ให้บริการระบบคลาวด์จะใช้มาตรการป้องกันเพื่อให้แน่ใจว่าเครือข่ายมีเวลาทำงานที่ยอดเยี่ยม
แต่ความเสี่ยงยังคงมีอยู่
• ความปลอดภัยในระบบคลาวด์
แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยในระบบคลาวด์โดยทั่วไปจะดีและเชื่อถือได้ แต่ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ที่เป็นที่ยอมรับก็มั่นใจว่าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลล่าสุดที่ทันสมัยที่สุดเนื่องจากความปลอดภัยของข้อมูลถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับธุรกิจ
การจัดเก็บข้อมูลในระบบคลาวด์จะเป็นการทำให้ บริษัท
ของคุณเสี่ยงต่อการถูกแฮ็กและภัยคุกคามจากภายนอก
เนื่องจากเซิร์ฟเวอร์ถูกเชื่อมต่อกันในระบบคลาวด์แฮ็กเกอร์อาจละเมิดระบบหนึ่งแล้วจึงเข้าสู่ระบบที่เชื่อมโยงอื่น
ๆ
• ความไม่ยืดหยุ่น
ในขณะที่เลือกผู้ขายคอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์โปรดระวังว่าข้อกำหนดในการให้บริการจะไม่บังคับให้คุณใช้งานหรือรูปแบบที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตน
อาจมีเงื่อนไขเช่นคุณไม่สามารถแทรกเอกสารที่สร้างขึ้นในแอปพลิเคชันอื่นซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อธุรกิจของคุณ
• ประเด็นทางเทคนิค
คุณควรตระหนักถึงความจริงที่ว่าเทคโนโลยีนี้มักจะมีปัญหากับปัญหาและปัญหาด้านเทคนิคอื่น
ๆ แม้แต่ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ที่ดีที่สุดก็ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหานี้แม้ว่าจะมีการบำรุงรักษาที่มีมาตรฐานสูง
นอกจากนี้คุณจะต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ดีที่จะเข้าสู่ระบบเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา
คุณจะติดอยู่เสมอในกรณีที่เกิดปัญหาเครือข่ายและการเชื่อมต่อ
• ขาดการสนับสนุน
บริการ Cloud-Based มักไม่มีระบบการดูแลลูกค้าที่ดีที่สุด
อาจเป็นเรื่องยากที่จะได้รับโทรศัพท์หรือทาง e-mail และพวกเขามักจะไม่ได้ให้คู่มือผู้ใช้ภาพประกอบ
แต่ขอให้ลูกค้าพึ่งพาหน้าคำถามที่พบบ่อยและการสนับสนุนชุมชนออนไลน์ซึ่งอาจโปร่งใสเสมอ
3. แนวคิดเกี่ยวกับการวางแผนกำลังการผลิตความสามารถในการปรับขนาดและ
TCO ในกรณีนี้อย่างไร? ใช้แนวคิดเหล่านี้กับ
Amazon และผู้สมัครใช้บริการของตน
การวางแผนกำลังการผลิตเป็นกระบวนการในการทำนายเมื่อระบบฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์กลายเป็นอิ่มตัวเพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพียงพอสำหรับงานที่มีลำดับความสำคัญต่างกันและ
บริษัท มีกำลังใช้งานเพียงพอสำหรับความต้องการในปัจจุบันและในอนาคต
อันที่จริงอะเมซอนต้องวางแผนว่าความต้องการในอนาคตของเขาจะสามารถให้กำลังการประมวลผลที่เพียงพอสำหรับทั้งบริการด้านการขายปลีก
AWS และ Amazon การขาดซึ่งจะส่งผลต่อการปฏิเสธโดยสมาชิก
ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนกำลังการผลิตคือความยืดหยุ่นซึ่งหมายถึงความสามารถของคอมพิวเตอร์ผลิตภัณฑ์หรือระบบที่จะขยายเพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้จำนวนมากโดยไม่ทำลายลง
ความสามารถในการปรับขนาดคือความสามารถของระบบเครือข่ายหรือกระบวนการที่จะจัดการกับการทำงานที่เพิ่มมากขึ้นในลักษณะที่มีความสามารถหรือความสามารถในการขยายเพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว
ความสามารถในการปรับขนาดเกี่ยวข้องกับทั้งสมาชิก Amazon และ AWS
Amazon ต้องสามารถให้บริการลูกค้าที่สามารถปรับขนาดได้ตามที่อ้างว่าทำในเว็บไซต์ของ
บริษัท :
"ใช้ประโยชน์จากความสามารถในการคำนวณและพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมหาศาลเพื่อสร้างแอพพลิเคชันที่คุณต้องการไม่ว่าจะเติบโตเร็วหรือไม่ก็ตาม
ใหญ่แค่ไหน "
การเป็นเจ้าของต้นทุนโดยรวม (TCO) หมายถึงการประมาณการทางการเงินเพื่อช่วยผู้ซื้อและเจ้าของในการกำหนดต้นทุนทางตรงและทางอ้อมของผลิตภัณฑ์หรือระบบ
Amazon ต้องมีการวางแผนกำลังการผลิตฮาร์ดแวร์และความยืดหยุ่น
ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ Amazon จะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ ไม่ใช่แค่ Amazon เท่านั้น แต่ลูกค้าของ Amazon ต้องมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อเก็บข้อมูลและข้อมูลต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้
บริษัท เติบโตขึ้น Amazon ต้องแบกรับ TCO ทั้งหมดของบริการในขณะที่ Amazon จำเป็นต้องรักษาความสามารถในการทำกำไรของ
บริษัท ด้วย อย่างไรก็ตามสมาชิกของบริการจะได้รับประโยชน์จากการไม่ต้องกังวลกับปัญหาเหล่านี้
4.
ธุรกิจประเภทใดมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์จากการใช้ระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง ทำไม?
คอมพิวเตอร์ในระบบคลาวด์เริ่มเข้าสู่โลกธุรกิจ
Zynga เป็นตัวอย่างที่ดีของ บริษัท ที่ใช้ Cloud Computing เพื่อปรับปรุงธุรกิจในรูปแบบใหม่
• มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เกมอาจประสบความสำเร็จเล็กน้อยหรือตียอดฮิตที่เพิ่มผู้ใช้ใหม่นับล้านราย
การใช้จ่าย Zynga ในการคำนวณทรัพยากรของตัวเองก่อนการเปิดตัวเกมจะคุ้มค่ามากขึ้นในการใช้บริการคลาวด์ของ
Amazon
• แอพพลิเคชัน
เป็นเรื่องปกติทั่วไปสำหรับธุรกิจที่เลือกรูปแบบ
"ซอฟต์แวร์เป็นบริการ" มากกว่าในรูปแบบของบ้าน Zynga เป็นผู้พัฒนาแอพพลิเคชัน Facebook ยอดนิยมอย่างเช่น FarmVille,
Mafia Wars และอื่น ๆ อีกมากมาย
แม้ว่าความรู้สึกทางธุรกิจทั่วไปอาจชี้ให้เห็นว่าควรจะจ่ายค่าผลิตภัณฑ์มากกว่าและจ่ายเงินค่าบริการรายเดือน
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกรณีไปกับซอฟต์แวร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นการบริหารลูกค้าสัมพันธ์
• ข้อมูลการสูญเสียการป้องกัน
การสูญเสียข้อมูลในระบบเศรษฐกิจข้อมูลอาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้สำหรับธุรกิจ
บริษัท ที่ก่อนหน้านี้มีชื่อเสียงอย่างมากอาจสูญเสียความนิยมได้อย่างรวดเร็วหากสูญเสียข้อมูลสำคัญจำนวนมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจสูญหายซึ่งอาจทำให้การค้าหยุดชะงักได้ทุกวัน
ตัวอย่างเช่นการย้าย Zynga ไปที่เกมบน zCloud แบบส่วนตัวซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับเมฆของ
Amazon แต่ทำงานภายใต้การควบคุมของ Zynga ในศูนย์ข้อมูลบนฝั่งตะวันออกและชายฝั่งตะวันตก
• ธุรกิจร่วมกัน
บริษัท อื่น ๆ
อีกมากมายได้ให้ความสำคัญกับความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของคลาวด์และนี่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการยอมรับระบบคลาวด์อย่างกว้างขวาง
เพื่อให้โครงการขนาดใหญ่ที่จะเสร็จสมบูรณ์ก็มักจะจำเป็นสำหรับผู้ที่มีการแยกทางภูมิศาสตร์ออกจากกันเพื่อทำงานร่วมกัน
แอพพลิเคชันที่รันบนซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์ทำให้กระบวนการนี้สะดวกมาก
ธุรกิจที่ใหญ่กว่ามีทางเลือกในการบินทุกคนเข้าไปในห้องเดียวกันและอาจมีกรณีที่จำเป็นจะต้องมี
แต่ก็มีหลายกรณีที่ไม่ใช่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น